สโมสรทหารบก วิภาวดี 1 ก.พ. – วิษณุ แนะใส่มาตรฐานจริยธรรมของศาล รธน. เป็นกฎหมาย ป.ป.ช. เพื่อให้บังคับใช้ได้จริง ด้านประธาน ป.ป.ช.มั่นใจเวลาทำงานจะเป็นเครื่องการันตีการทำงานของ ป.ป.ช.ให้มีจริยธรรมมากขึ้น ด้านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อการมีจริยธรรมช่วยให้ปราบปรามการทุจริตได้
ผู้ตรวจการแผ่นดิน จัดสัมมนาเรื่อง “เหลียวหน้า แลหลัง จริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ” โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเสวนาว่า ขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญอยู่ในระหว่างการแก้ไขตามพระราชอำนาจ ที่มีข้อสังเกตพระราชทานมา ซึ่งนายกฯได้รับการพระราชทาน ร่างรัฐธรรมนูญคืนมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยจะต้องแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยกระบวนการแก้ไขใกล้จะแล้วเสร็จแล้ว ซึ่งเป็นการแก้ในบางมาตราที่ในหลวงทรงพระราชทานข้อสังเกตบางประเด็นเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการปรับลดจำนวนมาตรา หลังจากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีกรอบ ก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะมีเวลา 90 วัน ในการโปรดเกล้าฯ รัฐธรรมนูญลงมา สาเหตุที่ต้องเริ่มนับใหม่ เพราะตอนที่นายกรัฐมนตรี ได้รับคืน ก็รับคืนทั้งฉบับ ไม่ได้รับคืนบางส่วน จึงต้องเริ่มนับ 90 วันใหม่ ซึ่งท่านอาจจะโปรดเกล้าฯ ก่อนครบกำหนดก็ได้
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ โรดแมปก็จะเริ่มนับหนึ่งตามที่ได้ระบุไว้ ในเรื่องของจริยธรรมตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น จะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องเชิญผู้แทนองค์กรอิสระทั้ง 5 องค์กร ประกอบด้วย คณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรรมการสิทธิมนุษยชน มาร่วมกันทำมาตรฐานจริยธรรมให้เสร็จภายใน 1 ปี ถ้าหากไม่เสร็จตามกรอบระยะเวลา ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งจะทำแบบเร่งรีบไม่ได้ด้วย
“ทั้งนี้มาตรฐานจริยธรรม จะเป็นดาบคืนสนอง ใช้กับพวกเขาเอง อีกทั้งจะต้องใช้กับ ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรับความเห็นจากพวกเขาด้วย ผมเชื่อว่ามาตรฐานจริยธรรมที่จะออกมานี้ จะเป็นแบบให้กับเจ้าหน้าที่รัฐอื่น ๆ ทั่วประเทศ เท่านั้นไม่พอ ยังมีมาตรา 76 ที่ได้ระบุว่า รัฐจะต้องกำหนดมาตราฐานทางจริยธรรมขึ้น เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับหน่วยภายใต้การกำกับของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวง รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรมหาชน เพื่อนำไปทำประมวลจริยธรรมของแต่ละหน่วยงานอีกที” นายวิษณุกล่าว
นายวิษณุ กล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ถูกให้ฉายาว่าเป็นฉบับปราบโกง ซึ่งมิติหนึ่งของฉายานั้น ก็เป็นเรื่องของจริยธรรม ที่ถูกพูดถึงมากกว่าในรัฐธรรมนูญปี 50 แต่ในเมื่อมีการกำหนดให้ทำมาตรฐาน หรือประมวลจริยธรรมขึ้นมาแล้วองค์กรที่ขับเคลื่อนบังคับให้ใช้จะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะเป็นใคร ซึ่งจะไม่ได้ขึ้นอยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่งแล้ว ส่วนอนาคตจริยธรรมจะมีหน้าตาทิศทางเป็นแบบไหนนั้นทั้งหมดไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ ดังนั้นจึงสามารถกำหนดได้ในภายหลังว่าจะขับเคลื่อนส่วนนี้อย่างไรและจะกำหนดโทษของการละเมิดจริยธรรมไว้อย่างไรต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่จะทำให้มาตรฐานทางจริยธรรม มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือมีผลบังคับใช้ได้จริงนั้น จะต้องมีการออกเป็นกฎหมายของ ป.ป.ช. ให้ใช้ร่วมพิจารณา โดยจะต้องออกเป็นลักษณะของการกำหนดโทษ หรือต้องให้เป็นหน้าที่ของศาลหนึ่งศาลใด ในการพิจารณาความผิดแต่ละประเภท ในส่วนของมาตรฐานจริยธรรมที่รัฐบาลจะต้องกำหนดนั้น อาจจะมีการแก้ไข พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ ในหมวดวินัย หากไม่ปฏิบัติตามจริยธรรม ก็จะมีโทษความผิด ซึ่งอาจจะเป็นความผิดธรรมดาหรือฐานความผิดวินัยร้ายแรงก็ได้ ตนเชื่อว่าถ้ากำหนดเช่นนี้ จะทำให้ประมวลจริยธรรมมีผลบังคับใช้จริง
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปรายปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวว่า แต่เดิมการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่จะส่งเรื่องที่ได้กลั่นกรองแล้วนั้นมาให้กับป.ป.ช.พิจารณาไต่สวนหาข้อเท็จจริงต่อไป แล้วนำเข้าที่ประชุมเมื่อคณะกรรมการมีมติถอดถอนก็จะส่งให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) พิจารณาถอดถอนต่อไป ซึ่งรัฐบาลในอดีตที่ผ่านมามีการถอดถอนไม่มากนัก และในรัฐบาลนี้มีสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ถอดถอนไปแล้ว 1 ราย และในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ผู้ตวจการแผ่นดิน ไม่ได้มีหน้าที่คัดกรองเรื่องจริยธรรมให้แก่ป.ป.ช.แล้ว โดยป.ป.ช.จะต้องรับเรื่องเอง และ เมื่อมีมติจากคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าถอดถอน ก็ไม่ต้องส่งเรื่องให้กับ ส.ว.พิจารณาแล้ว แต่จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาแทน โดยผู้ที่ถูกร้องเรียนความผิดทางจริยธรรมจะต้องพักจากราชการจนกว่าจะมีมติเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หากมีมติถอดถอนก็ต้องออกจากตำแหน่ง เป็นต้น
ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า สำหรับเรื่องการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมขององค์กรอิสระ ตามมาตรา 76 ในรัฐธรรมนูญนั้น ทาง ป.ป.ช. ได้เขียนแก้ไขไว้ในร่างพระราชบัญญัติแล้ว โดยกำหนดกรอบเรื่องของระยะเวลาในการพิจารณาข้อร้องเรียนแต่ละกรณีว่ามีมูลมากพอหรือไม่ ในระยะเวลา 6 เดือน และอาจขอขยายได้อีก 3 เดือน หากมีเหตุจำเป็น ดังนั้นการแสวงหาความจริงจะมีระยะเวลาที่ชัดเจน ป.ป.ช.จะให้ความยุติธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา เพราะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยจะใช้เวลาในการไต่สวนคดีนั้น ๆ 2 ปี และสามารถขอขยายเวลาได้ หากมีเหตุจำเป็น และหากมีมูลคณะกรรมการป.ป.ช จะมีมติส่งฟ้องให้ศาลฎีกาพิจารณาถอดถอนต่อไป
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า สิ่งที่ ป.ป.ช.มั่นใจในมาตรฐานจริยธรรม เมื่อมีการกล่าวหาข้าราชการที่ละเมิดจริยธรรมร้ายแรงนั้นคือตัวกรอบเวลาการทำหน้าที่ ที่ชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นเครื่องการันตีถึงกระบวนการตรวจสอบที่โปร่งใสและยุติธรรมให้กับสังคมได้ และขณะนี้ป.ป.ช.มีพนักงงานไต่สวนและเจ้าหน้าที่ชำนาญการ กว่า 900 คน ซึ่งหากเราเคลียร์คดีที่ค้างอยู่เดิมได้ก็จะถือเป็นองค์กรที่มีคุณภาพและไม่เกินความสามารถที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใสยุติธรรมได้
ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ทำผิดจริยธรรมเอง จะมีคณะกรรมการผู้ไต่สวนอิสระเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ และผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่และไปสู่การพิจารณาถอดถอนที่ศาลฎีกาเช่นเดียวกับผู้ถูกร้องเรียนในหน่วยงานต่าง ๆ โดยไม่มีการละเว้น
ด้านนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การมีจริยธรรมจะช่วยให้สามารถปราบปรามการทุจริตได้ เพราะการทุจริตในประเทศไทย เปรียบเหมือนโรคมะเร็งร้าย ที่คอยกัดกินประเทศมานาน ส่วนตัวอยากให้ แต่ละองค์กรกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมเอาไว้ เพื่อไม่ให้ใครกล้าทำผิด เช่น หากทำผิดควรมีการลงโทษทางวินัย ขั้นต้น ไปจนถึง ผิดวินัยขั้นร้ายแรง นั่นคือ การไล่ออก และเรื่องจริยธรรม ควรปลูกฝังในขั้นอุดมการณ์เพื่อให้คนส่วนใหญ่นึกถึงประเทศเป็นหลัก ยกตัวอย่าง เช่น หากมีการทำผิดอาญาในต่างประเทศ แต่กลับไม่มีความผิดในส่วนของอำนาจไทย ก็ควรให้ถือว่า ผิดจริยธรรมร้ายแรง และสร้างความเสื่อมเสียให้ประเทศชาติด้วย.-สำนักข่าวไทย