จนท.ด่านชายแดนผวา! แรงงานเมียนมาถูกจับติดโควิด 12 ราย

ประจวบคีรีขันธ์ 9 ส.ค. – เจ้าหน้าที่ด่านชายแดน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผวาหนัก หลังจับกุมแรงงานเมียนมา 42 คน เดินทางจาก จ.สมุทรสาคร อ้างจะกลับประเทศ ก่อนควบคุมตัวทั้งหมดไปสอบสวน พร้อมตรวจหาเชื้อโควิด-19 พบติดเชื้อ 12 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกักตัวเป็นจำนวนมาก


กรณีการจับกุมแรงงานเมียนมา 42 คน อ้างว่าจะเดินทางกลับเมียนมา ผ่านจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขร พื้นที่ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยทั้งหมดถูกจับขณะนั่งรถทัวร์โดยสาร 2 ชั้น ผ่านจุดตรวจประชารัฐ หรือด่าน สน.ตีนเป็ด ถนนเพชรเกษม-ด่านสิงขร ก่อนถูกควบคุมตัวไปสอบสวนที่กองร้อย ตชด.ที่ 146 พร้อมตรวจหาเชื้อโควิด-19

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.) เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองฯ รายงานผลการตรวจเชื้อ พบว่ามีแรงงานเมียนมาติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 12 คน และอีก 8 คน กำลังรอผลตรวจ ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางร่วมกันถือว่าเข้าข่ายเสี่ยงสูง ต้องกักตัวตรวจหาเชื้อ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม และเจ้าหน้าที่ ตชด.ที่ 146 ซึ่งเข้าข่ายเสี่ยงสูงอีกจำนวนมาก


สำหรับแรงงานที่ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในระบบ ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่สามารถกักตัวที่ศูนย์กักกันภายในกองร้อย ตชด.ที่ 146 ด่านสิงขรได้ เนื่องจากกำหนดเป็นศูนย์ควบคุมตัวต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเท่านั้น

สำหรับแรงงานทั้งหมดที่ถูกจับกุม ซึ่งมีผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ที่เสี่ยงสูง ขณะนี้เจ้าหน้าที่วางแผนนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามชั่วคราว และจุดพักคอย ใกล้ที่ทำการ อบต.อ่าวน้อย ภายในตลาดร้างทุ่งกระต่ายขัง ริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ โดยจะนำลวดหนามปิดกั้นรอบบริเวณ พร้อมฉีดน้ำทำความสะอาด จากนั้นเมื่อปรับปรุงสถานที่เสร็จแล้วจะนำแรงงานทั้งหมดไปรักษาในโรงพยาบาลสนามชั่วคราว หากรักษาอาการป่วยหรือพ้นกักตัวเวลา 14 วัน จะส่งตัวดำเนินคดีและผลักดันกลับประเทศต้นทาง

ส่วนความคืบหน้าของคดี หลังจากแจ้งข้อหากับพนักงานขับรถและแรงงานต่างด้าว ฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กรณีออกนอกเคหสถานในระหว่างเวลา 21.00-04.00 น. รวมถึงความผิดฐานเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ ทั้งหมดยังฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัด พร้อมกับยึดรถทัวร์ไว้เป็นของกลาง ส่งพนักงานสอบสนวน สภ.คลองวาฬ ดำเนินคดี


เจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำชาวเมียนมาให้การว่า เป็นแรงงานในสังกัด “เจ๊ จ.” ผู้กว้างขวางในวงการค้าแรงงานต่างด้าวที่สมุทรสาคร พร้อมให้หมายเลขโทรศัพท์กับพนักงานสอบสวนติดต่อสอบถาม แต่ไม่มีผู้ใดรับสาย

ก่อนหน้านี้ “เจ๊ จ.” ติดต่อแรงงานทั้งหมดให้เดินทางมารวมที่สมุทรสาคร พร้อมแจ้งว่าได้เคลียร์เส้นทางหมดแล้ว หากถูกจับกุมให้แจ้งว่าต้องการเดินทางกลับบ้านไปเมียนมา เพราะโรงงานปิด แต่ในข้อเท็จจริงรถคันดังกล่าวตระเวนรับแรงงานเถื่อนตลอดเส้นทาง เพื่อไปทำงานในจังหวัดทางภาคใต้ และขณะที่ถูกจับกุมช่วงแรกมีการโทรศัพท์เคลียร์กับเจ้าหน้าที่บางนายที่ด่านเพื่อขอให้ปล่อยตัว อ้างว่ามีหนังสืออนุญาตนำแรงงานออกนอกพื้นที่ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองชุดจับกุมไม่ยินยอม จากนั้นได้ตรวจสอบเอกสารบางชุดพบเป็นเอกสานปลอม.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง