กทม.20 ก.ค.-กสม.เตรียมหยิบยกการชุมนุม 16 และ 18 ก.ค.ขึ้นตรวจสอบ ย้ำหลักสิทธิมนุษยชน และการไม่ใช้ความรุนแรงของทุกฝ่าย คำนึงถึงสิทธิด้านสุขภาพในช่วงการระบาดของเชื้อโควิดด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เปิดเผยว่าได้ติดตามการชุมนุมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการจัดหาวัคซีนชนิด mRNA ที่บริเวณหน้ากระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม และการชุมนุมและเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งการชุมนุมทั้งสองครั้ง กสม.ตระหนักดีว่ากำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 และมีการประกาศข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ห้ามจัดกิจกรรมและการรวมกลุ่มเกินกว่าห้าคนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เมื่อมีการชุมนุมเกิดขึ้น ผู้ชุมนุมพึงยึดหลักการชุมนุมอย่างสงบโดยปราศจากอาวุธและไม่ใช้ความรุนแรง ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐพึงใช้แนวทางในการบริหารจัดการการชุมนุมที่เคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชน
กสม.มีความห่วงใยต่อการใช้ความรุนแรงและมีความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม มีการกระทบกระทั่งจนทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกทุบที่ศีรษะด้วยของแข็งในขณะกำลังเข้าจับกุมแกนนำผู้ชุมนุม กสม.เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการใช้ความรุนแรงที่ไม่ควรเกิดขึ้น และขอย้ำว่าการใช้เสรีภาพในการชุมนุมที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญต้องเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
ทั้งนี้ กสม.จะหยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นตรวจสอบต่อไป และการชุมนุมวันที่ 18 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมฝูงชนและยุติการชุมนุม เช่น การฉีดน้ำ การยิงแก๊สน้ำตา และการใช้กระสุนยาง ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุปกรณ์ดังกล่าวจำนวนมาก รวมทั้งผู้สื่อข่าวที่มีปลอกแขนชัดเจน นอกจากนั้นยังมีการใช้ลวดหนามหีบเพลงเป็นแนวกั้น ซึ่ง กสม.เห็นว่าอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่มีอันตรายและอาจมีผลต่อความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของผู้ชุมนุม ซึ่งตามแนวปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้อาวุธที่เป็นอันตราย การใช้อุปกรณ์ที่เป็นอันตรายควรใช้เท่าที่จำเป็นเมื่อไม่สามารถใช้วิธีการอื่นที่ดีกว่าได้ และต้องใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งทั้งนี้ กสม.จะหยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นตรวจสอบเช่นกัน
กสม.ขอย้ำถึงความสำคัญของการไม่ใช้ความรุนแรงไม่ว่าโดยฝ่ายใดและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกฝ่ายจะรับฟังและเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนสากลและหลักนิติรัฐนิติธรรมเป็นสำคัญ รวมทั้งขอย้ำถึงความสำคัญในการคำนึงถึงสิทธิด้านสุขภาพของตนเอง ผู้อื่น และสังคมโดยรวมในการใช้สิทธิและเสรีภาพในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ด้วย.-สำนักข่าวไทย