กสม.เรียกร้องสื่อ-สังคมออนไลน์ เคารพความเป็นส่วนตัวครอบครัวผู้สูญเสีย

ไฟไหม้รถบัสนักเรียน

กสม. 2ต.ค.-กสม.ออกแถลงการณ์เสียใจเหตุไฟไหม้รถบัสนักเรียน ขอให้รัฐเร่งหาสาเหตุ-เยียวยาอย่างเป็นธรรม เรียกร้องสื่อ-สังคมออนไลน์ เคารพความเป็นส่วนตัว ไม่เผยแพร่ภาพ-ข้อมูล เพื่อแสวงหาประโยชน์ กระทบกระเทือนจิตใจครอบครัว

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อความสูญเสียครั้งใหญ่จากเหตุเพลิงไหม้รถบัสโดยสารนักเรียน ระบุว่าตามที่เกิดเหตุเพลิงไหม้รถบัสโดยสารนักเรียน บนถนนวิภาวดีรังสิต ขณะพานักเรียนจากจังหวัดอุทัยธานีไปทัศนศึกษา เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นเหตุให้เด็กนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตจำนวนมาก โดยบางส่วนยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้ สร้างความสะเทือนใจและเศร้าสลดใจให้แก่ผู้ที่ได้ทราบข่าวและสังคมโดยรวม


กสม. ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวและญาติมิตรของนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาที่เสียชีวิต สูญหาย และได้รับบาดเจ็บ โดยตระหนักว่าสิทธิและความปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ที่จะต้องมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอด (The Right to Survival) และสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง (The Right to Protection) ในทุกรูปแบบเพื่อให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ ตามที่อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามได้รับรองไว้

เหตุสลดดังกล่าว แม้ไม่มีผู้ใดต้องการให้เกิดขึ้น แต่สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมในการปกป้องและคุ้มครองเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กซึ่งยังมิอาจปกป้องตนเองจากภัยอันตรายได้ นอกจากนี้ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ ยังมีการเผยแพร่และส่งต่อภาพเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสม และมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กหรือผู้ปกครองอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจซ้ำเติมความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวผู้สูญเสีย โดยมิได้คำนึงถึงสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว ตามที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560


กสม. ขอเน้นย้ำว่าเด็ก ผู้ปกครองและญาติ มีสิทธิที่จะได้รับการเคารพในความเป็นส่วนตัว และไม่ควรถูกนำข้อมูลไปใช้ในการแสวงหาประโยชน์ โดยขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนคำนึงถึงมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมในการนำเสนอข่าว รวมถึงแนวทางการนำเสนอข่าวในสถานการณ์เศร้าโศกหรือโศกนาฏกรรม ที่มุ่งนำเสนอสาเหตุและการป้องกันแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์มากกว่าการสื่อสารที่เป็นการตอกย้ำความโศกเศร้า และขอให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ระมัดระวังในการส่งต่อและเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนภาพเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือไม่เหมาะสมโดยมิได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้สูญเสีย

กสม. ขอเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวผู้สูญเสียและเด็ก ๆ ผู้รอดชีวิตที่ต้องเผชิญกับเหตุอันเลวร้ายและเสี่ยงต่อชีวิต โดยขอเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเร่งสอบสวนหาสาเหตุที่แน่ชัดของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ และเร่งเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และทั่วถึง ซึ่งการเยียวยานั้นต้องรวมไปถึงการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้รอดชีวิตและครอบครัวผู้สูญเสีย รวมทั้งหามาตรการป้องกันภัยเพื่อมิให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้อีก.-314.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เร่งล่า 4 คนร้ายซุ่มยิงตำรวจ สภ.ยะรัง เสียชีวิต 2 นาย

เร่งล่า 4 คนร้ายซุ่มยิงตำรวจ สภ.ยะรัง เสียชีวิต 2 นาย ขณะที่ ผบ.ตร. อาลัยตำรวจกล้า สั่งต้นสังกัดดูแลสิทธิประโยชน์ เลื่อนเงินเดือนและชั้นยศ

นักโทษกลับใจ

อดีตนักโทษกลับใจ หลังติดคุก 30 ปี โทรคุยกับพ่อทั้งน้ำตา

อดีตนักโทษชีวิตโตมาในคุก ตั้งแต่อายุ 19 จนตอนนี้ อายุ 49 ปี ร่ำไห้กับตำรวจ ขอให้ช่วยพากลับบ้านที่จากมา 30 ปี ตำรวจโทรศัพท์หาพ่อ ให้ 2 พ่อลูกคุยกันทั้งน้ำตา

ตำรวจจีนพาผู้ต้องสงสัยฉ้อโกง 200 ราย กลับจากเมียนมา

พลเมืองจีน 200 รายที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกง ถูกส่งตัวจากเมืองเมียวดีในเมียนมากลับจีนแล้วเมื่อวานนี้ ภายใต้การคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน

เด็ก 12 สูบบุหรี่ไฟฟ้า-ดื่มน้ำกระท่อม ทำปอดหาย

ย่าช็อก หลานวัย 12 ปี อาการวิกฤติ ปอดหายเกือบทั้งหมด ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หลังสูบบุหรี่ไฟฟ้าและดื่มน้ำกระท่อมตั้งแต่ ป.4

ข่าวแนะนำ

สว.ยื่นถอดถอนรัฐมนตรี

สว. จ่อยื่นถอดถอน​ “รมต.” กล่าวหาอั้งยี่-ซ่องโจร

สว. ประกาศสงคราม​ เตรียมยื่นถอดถอน​ “รัฐมนตรี” กล่าวหาอั้งยี่-ซ่องโจร พ่วง​ยื่นอภิปราย-แจ้งความ​-เชิญสอบใน​กมธ.​

ส่งกลับเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนอีก 300 คน

วันที่สองของปฏิบัติการขนเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนจากเมียวดี ข้ามชายแดนไทย ส่งกลับประเทศอีก 300 คน รวม 2 วัน ส่งกลับแล้ว 500 คน เหลือพรุ่งนี้อีก 1 วัน

บุกทลายบ่อนทุนจีนเทากลางเมืองภูเก็ต

ตำรวจภูเก็ตบุกทลายบ่อน ‘กลุ่มจีนเทา’ กลางเมืองภูเก็ต รวบนักพนันชาวจีน 13 ราย พร้อมของกลางกว่า 30 รายการ พบเงินหมุนสัปดาห์เดียวกว่า 5 ล้านบาท