ทำเนียบ 24 มี.ค.-นายกฯ เตรียมนำ รมต.ใหม่ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ 27 มี.ค.นี้ ชี้ทุกคนต้องทำตามนโยบายรัฐบาล ประเมินผลงานทุก 3 เดือน เชื่อทุกอย่างจะดีขึ้น สลับกระทรวงไม่ผิดหลักการ เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ภายหลังโปรดเกล้าฯ รัฐมนตรีใหม่แล้ววานนี้ เบื้องต้นรับทราบว่าจะมีการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในวันเสาร์ที่ 27 มีนาคมนี้ ทั้งนี้ภายหลังเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯแล้ว จะเรียกรัฐมนตรีใหม่มาหารือพูดคุยถึงการทำงาน ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องวุฒิการศึกษาของรัฐมนตรีใหม่บางคน ไม่ตรงกับกระทรวงที่ต้องบริหารงานนั้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า การทำงานมีหลายระดับ ซึ่งตนเป็นผู้มอบนโยบาย และตนก็มีความรู้เกี่ยวกับด้านการศึกษา โดยรัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดนโยบายในภาพรวมและจะให้แนวทางแต่ละกระทรวงไปปฏิบัติ และหลายเรื่องที่รัฐมนตรีเดิมได้ทำไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีก็ต้องปฎิบัติตามนโยบาย เพราะตนให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นพิเศษ และต้องผ่านความเห็นชอบร่วมกัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ร.บ.การศึกษา
“ทั้งหมดต้องถูกควบคุมการบริหารโดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และต้องผ่านกลไกของ ครม. ทั้งนี้จะมีการติดตามการทำงานและประเมินผลงานของรัฐมนตรีทั้งหมดทุก 3 เดือน ส่วนที่มีนักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น ก็เคารพในความคิดเห็น แต่ขอให้เข้าใจการทำงานในเชิงบริหารด้วย ส่วนตัวไม่ต้องการให้มีการแบ่งเด็กนักเรียนดีและเด็กนักเรียนเลว เพราะต้องทำให้เด็กทุกคนเป็นคนดี ในฐานะกำลังของชาติ ต้องมีการเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ว่าสิ่งใดคือความถูกต้องชอบธรรมและเป็นประชาธิปไตยสากล มิเช่นนั้นก็จะพูดแต่ว่า นายกฯ เผด็จการ ซึ่งยืนยันว่าตนไม่เคยเผด็จการ และสั่งการทุกอย่างตามอำนาจหน้าที่การบริหาร ซึ่ง ครม.จะมีการพิจารณาปรับอยู่เสมอ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการสลับตำแหน่งระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงพาณิชย์ว่า เพื่อให้ทั้งสองกระทรวงได้ขับเคลื่อนงานให้ดีและรวดเร็วขึ้น เพราะมีหลายอย่างที่ต้องทำ ยืนยันไม่ผิดหลักการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากสลับปรับใครไป หากทำงานไม่ดี ก็จะถูกปรับออก ซึ่งงานของทั้งสองกระทรวง เป็นการสร้างโอกาสและให้ทุกคนเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานโดยเร็วที่สุด มีรายได้ทางเศรษฐกิจและการขนส่งสินค้า ซึ่งวันนี้ต้องเร่งหารายได้มากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้มีการเปิดตลาดการค้าต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอสนั้น ถือว่ามีความสำคัญและเป็นกลไกหนึ่งที่ต้องทำให้เกิดความทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำและเป็นธรรม เพราะขณะนี้สังคมมีปัญหาอุปสรรค มีความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน มีข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ซึ่งต้องสร้างความเข้าใจเรื่องของประชาธิปไตย ที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและทำผิดกฎหมาย .- สำนักข่าวไทย