อย.15 ธ.ค.-ลงราชกิจจาแล้ว ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ปลดล็อกทุกส่วนของกัญชา กัญชง พ้นยาเสพติด ยกเว้นช่อดอกและเมล็ดกัญชา พร้อมชูเป็นพืชเศรษฐกิจ มีผลวันนี้
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)เปิดเผยว่า จากมติคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ในประเด็นการจัดทำ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เพื่อปลดล็อกส่วนของกัญชาและกัญชงให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่จัดเป็นยาเสพติดนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศดังกล่าวและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ที่ 15 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของประกาศดังกล่าว เป็นการระบุว่าสิ่งใดจัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และสิ่งใดที่ยกเว้น ซึ่งกัญชาและกัญชงยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพียงแต่ส่วนของกัญชาและกัญชงที่ได้จากการปลูกหรือผลิตในประเทศ ได้แก่ ใบที่ไม่ติดกับช่อดอก กิ่ง ก้าน ลำต้น เปลือก ราก และ เส้นใย รวมถึงสารสกัดที่มี CBD เป็นส่วนประกอบและกากที่เหลือจากการสกัด ซึ่งต้องมี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2, เมล็ดกัญชงน้ำมันและสารสกัดจากเมล็ดกัญชงไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และอื่นๆ ได้ ประชาชนสามารถใช้ส่วนต่าง ๆ ของกัญชา กัญชง ทั้งนำไปประกอบอาหาร ทำยารักษาโรค เป็นต้น
ส่วนการนำเข้ากัญชา กัญชง สามารถทำได้ โดยขออนุญาตเป็นยาเสพติด ยกเว้น เปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง และเส้นใยแห้ง ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่เป็นยาเสพติดตามประกาศนี้
ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า เหตุที่ยังปลดทุกส่วนของต้นกัญชา กัญชงออกจากยาเสพติดไม่ได้ เนื่องจากติดอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ดังนั้นการปลูกกัญชาและกัญชงยังคงต้องขออนุญาตตามกฎหมายยาเสพติด แต่เมื่อปลูกไปแล้วส่วนที่มีสาร THC ต่ำ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องทำลายทิ้ง โดยผู้ขออนุญาตจะต้องแจ้ง อย.ว่าจะนำส่วนที่ไม่เป็นยาเสพติดไปใช้ประโยชน์อย่างไร
ส่วนการนำกัญชาไปใช้จะต้องได้มาจากผู้รับอนุญาตที่ถูกกฎหมาย โดยตรวจสอบได้จาก https://www.fda.moph.go.th หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ 1556 กด 3 และขอย้ำให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า การขออนุญาตปลูกกัญชาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ทำอย่างถูกต้อง ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน ขณะนี้มีการขออนุญาตแล้วหลาย 100 ราย โดยจะมีคณะกรรมการตรวจสอบที่มาและการนำไปใช้อย่างถูกต้อง .-สำนักข่าวไทย