ซิดนีย์ 4 ก.ย.- นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสันของออสเตรเลียกดดันทางการระดับรัฐให้เปิดพรมแดนภายในประเทศภายในเดือนธันวาคม และผ่อนคลายมาตรการจำกัด เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ถูกล็อกดาวน์ไม่พอใจที่รายได้ลดลงและตกงาน
นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันเผยหลังประชุมคณะรัฐมนตรีระดับประเทศในวันนี้ว่า ทางการจะหาทางพาพลเรือนตกค้างในต่างประเทศกลับมาให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่กำหนดไว้ไม่เกินสัปดาห์ละ 4,000 คน และเสนอทำข้อตกลงระเบียงท่องเที่ยวที่เป็นการจับคู่ท่องเที่ยวกับนิวซีแลนด์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟื้นเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี ส่วนเรื่องเปิดพรมแดนภายในประเทศขณะนี้มุขมนตรี 7 ใน 8 รัฐและดินแดน ยกเว้นรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย เห็นพ้องแล้วว่า จะร่างแผนการเปิดพรมแดนภายในเดือนธันวาคม และนิยาม “จุดพื้นที่เสี่ยงภัย” เพื่อบริหารจัดการการท่องเที่ยวในประเทศ เขาได้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์นของนิวซีแลนด์ด้วยว่า จะใช้มาตรการนิยามจุดพื้นที่เสี่ยงภัยแบบเดียวกันนี้กับการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ เพราะตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ก็อาจต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกหลายปี
ด้านมุขมนตรีรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียกล่าวว่า จะปิดพรมแดนทางตะวันออกที่ติดกับรัฐอื่นต่อไป เพื่อปกป้องชีวิตผู้คนและอุตสาหกรรมเหมืองใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยจะไม่ยอมเปิดพรมแดนจนกว่ารัฐอื่น ๆ จะสามารถควบคุมการระบาดได้ รัฐนี้มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ไม่มีการติดเชื้อในชุมชนมา 129 วัน และไม่ได้ใช้มาตรการจำกัดทางสังคมหรือธุรกิจแต่อย่างใด ออสเตรเลียมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมราว 26,100 คน เสียชีวิต 737 คน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและขนส่งระบุว่าการปิดพรมแดนในประเทศทำให้สร้างความสูญเสียเดือนละ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 187,946 ล้านบาท) และทำให้คนตกงานจำนวนมาก.-สำนักข่าวไทย