กรุงเทพฯ
20 มี.ค. –“กรณ์-ธีระชัย” 2 อดีต รมว.คลัง เห็นพ้องหนี้เสียกระทบหนักจาก
พิษ”โควิด-19” ทำให้
แบงก์ชาติออกออกประกาศทั้งลดดอกเบี้ยช่วยรายย่อยและห้ามแบงก์พาณิชย์ซื้อหุ้นคืน-จ่ายปันผลระหว่างกาล
คาดจันทร์นี้หุ้นแบงก์ร่วง
จากกรณี ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) ประกาศวานนี้ (20
มิ.ย. )ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบ Covid-19 เฟส2 โดยลดดอกเบี้ยร้อยละ 2-4
สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ
และเพิ่มวงเงินให้การช่วยเหลือกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท/เดือน เป็น 2
เท่าจากเดิม 1.5 เท่า และสั่งธนาคารพาณิชย์ ทำแผนบริหารเงินกองทุนช่วง 3 ปี
รวมทั้งห้ามซื้อหุ้นคืน-งดจ่ายปันผลระหว่างกาล จากผลดำเนินการปี 2563
เพื่อรักษาเงินกองทุนให้แข็งแกร่ง จากความเสี่ยงหลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค Covid-19 ที่อาจกระทบต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระยะต่อไป
นายกรณ์
จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า
คำสั่งห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลและห้ามซื้อหุ้นตัวเองคืน (ลดทุน) เป็นสัญญาณว่า
ธปท. ได้ประเมินสถานการณ์หนี้เสียว่า
เลวร้ายกว่าที่ปรากฏ โดย สาเหตุที่ ธปท.ต้องออกคำสั่ง ดังกล่าวอาจจะเป็นเพราะนายแบงค์ต้องการคำสั่งเป็นเกราะกำบังจากความไม่พอใจของนักลงทุนที่รอรับเงินปันผล
เนื่องจากในช่วงหลัง หลายคนเข้าไปซื้อหุ้นเพราะราคาลดลงมาก
ด้วยหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลที่คาดว่าจะได้รับ ดังนั้นจึงคาดว่า วันจันทร์นี้(22
มิ.ย.)ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารมีโอกาสสูงที่จะปรับลงแรง และมีผลกระทบต่อความมั่นใจทางเศรษฐกิจจะต้องมีอย่างแน่นอน
นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการอยู่รอด
วันนี้ ผู้ประกอบการการขนาดกลางและเล็ก ( SME)ทุกระดับยังเข้าไม่ถึงมาตรการของรัฐบาล
ดังนั้นการใช้เงินกู้ของรัฐบาลต้องมีการออกแบบให้ถึงมือผู้ประกอบการโดยตรง รวดเร็ว
ไม่รั่วไหล และต้องมีการใช้ในการจัดซื้อสินค้านำเข้าให้น้อยที่สุด
รอบหมุนของเงินต้องมากที่สุด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า
ได้ให้ข้อคิดเห็นหลายครั้งว่า วิกฤตโควิด-19จะหนักพอกับมหาวิกฤตปี 1930 ( พ.ศ.2473 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (The Great Depression) ) และคาดว่าตั้งแต่ไตรมาส
3/2563 เป็นต้นไป จะเกิดปัญหาสภาพคล่อง ดึงกันไปมา จากบริษัทหนึ่งไปอีกบริษัทหนึ่ง เป็นเหมือนแชร์ลูกโซ่ และสุดท้ายจะวนไปที่แบงค์ ในรูปของ NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ) ซึ่งขณะนี้ปัญหานี้ถูกแช่แข็งอยู่
กว่าจะรู้ตัวเลข NPL จริง ก็เมื่อพ้นเดือน ต.ค. ไปแล้ว
นายธีระชัย
ระบุว่า เห็นด้วยกับ การที่ ธปท.
ออกมาตรการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนให้รัดกุม
และให้ธนาคารพาณิชย์ งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2563
รวมถึงงดการซื้อหุ้นคืน
เพราะเป็นการยอมรับความจริง และเตรียมตั้งรับแต่เนิ่นๆอย่างไรก็ตาม ธปท.
เห็นตัวอย่างหลายประเทศตะวันตก ที่ประกาศมาตรการนี้มาหลายเดือนแล้ว ทำไมไม่ประกาศไปพร้อมกับการออก
พระราชกำหนดเกี่ยวกับ เงินกู้ เพื่อดูแลปัญหาผลกระทบจาก โควิด-19 ให้เป็นแพคเกจ ใหญ่ แต่กลับไปเลือกเลียนแบบเฉพาะแต่การทำ QE โดยรับซื้อตราสารหนี้เอกชน
“การประกาศมาตรการเมื่อจวนตัว
ย่อมทำให้นักลงทุนสงสัยว่า ธปท. เริ่มเห็นอาการปัญหาหนักขึ้นในขณะที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี
“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ “ประกาศว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นมังกรบินได้
ก็ยิ่งทำให้คนสงสัยหนักขึ้นว่า ธปท. พบปัญหาอะไรเป็นพิเศษ”นายธีระชัย ระบุ
ด้าน
บล. กสิกรไทย วิเคราะห์ว่า การที่ ธปท.สั่งแบงค์งดจ่ายปันผลครึ่งปีและงดโครงการซื้อหุ้นคืน
จะเป็นเชิงลบต่อตลาดซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงสภาพคล่องและผลกระทบจาก COVID-19 ที่อาจสูงกว่าที่ประเมินเบื้องต้น
คาดราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงประมาณร้อยละ 3-4 และคาดส่งผลต่อ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ประมาณ 7-10จุด ในเช้าวันจันทร์ และเม็ดเงินลงทุนย้ายเข้ากลุ่มพลังงาน, โรงไฟฟ้า
ด้านบล.
กรุงไทย ซีมิโก้ วิเคราะห์ว่า มาตรการห้ามซื้อคืนและงดจ่ายเงินปันผลปีนี้
แม้ว่าจะเป็นมาตรการใหม่สำหรับประเทศไทย
แต่ถือเป็นแนวทางปฎิบัติทั่วไปต่อระบบสถาบันการเงินโลก เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ( เฟด)จะทำ Stress Test เพื่อทดสอบระดับเงินกองทุนของธนาคารสหรัฐฯ
ภายใต้สมมุติฐานทางเศรษฐกิจที่แย่กว่าปัจจุบัน ฯลฯ
ก่อนที่จะมีการดำเนินการให้ธนาคารฯใดที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
จะต้องเพิ่มทุนหรืองดการทำธุรกิจเพิ่มเติม
หรือ อนุญาตให้ธนาคารฯที่ดีกว่าเกณฑ์ สามารถจ่ายปันผลได้ เป็นต้น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินในระยะยาว
ส่วนประเด็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ
ธปท. ที่ประกาศล่าสุด ได้กระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มแบงก์และหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์
ไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คาดว่า ข่าวดังกล่าวจะเป็นลบระยะสั้นต่อหุ้นสถาบันการเงินที่มีประวัติจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและในระดับที่สูงกว่าร้อยละ
4 เช่น ธ.ทิสโก้ (TISCO ), ธ.กรุงเทพ (BBL),ธ.ไทยพาณิชย์ ( SCB) ธ.เกียรตินาคิน (KKP) แต่เป็นผลบวกในระยะยาวต่อเสถียรภาพของกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ในทางตรงกันข้าม หุ้นที่มิใช่สถาบันการเงิน
ที่มีประวัติการจ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ
คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการย้ายเงินลงทุนเพือรับปันผลจากกลุ่มสถาบันการเงิน
เข้ามาเพิ่มเติม -สำนักข่าวไทย