กทม. 24 ธ.ค.-ตอนนี้ธุรกิจรับซื้อของเก่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากราคารับซื้อของเก่าอย่างกระดาษและพลาสติกตกต่ำตั้งแต่ต้นปี หลังพบนำเข้าขยะรีไซเคิลจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการรับซื้อของเก่าบางส่วนปิดกิจการ และซาเล้งรับซื้อของเก่าก็หันไปทำอาชีพอื่น
แม้ขยะรีไซเคิลอย่างกระดาษลังและเศษกระดาษจะเต็มคันรถของคนขายของเก่าคนนี้ แต่เมื่อนำมาชั่งแล้วร้านรับซื้อของเก่าจ่ายให้เพียง 200 บาทเท่านั้น เพราะตั้งแต่ต้นปีราคารับซื้อลดลงต่อเนื่อง
ในซอยรัชดา 36 ปกติเคยเต็มไปด้วยรถซาเล้งขายของเก่า และรถกระบะ แต่วันนี้กลับเงียบเหงา ปกติในช่วงเที่ยงวัน พนักงานบอกว่าจะมีรถมาต่อแถวเข้าคิวเพื่อขายของเก่าในรอบเช้าให้โรงงานรับซื้อแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 4-5 คัน แต่หลังจากราคารับซื้อถูกลง โดยเฉพาะกระดาษ และขยะพลาสติก ทำให้มีคนขายของเก่าลดลงไปด้วย
กระดาษชนิดอื่น เช่น กระดาษลังลูกฟูก ตอนนี้ร้านรับซื้อราคากิโลกรัมละ 1 บาท ถ้านำไปขายให้โรงหลอมก็ราคาลดลงเช่นกัน เหลือกิโลกรัมละ 2 บาท 20 สตางค์ จากเคยขายได้กิโลกรัมละ 6 บาท ส่วนกระดาษเอ 4 ขาวดำ ขายกิโลกรัมละ 3 บาท จากเดิม 10 บาท และราคาของขยะพลาสติก เช่น ขวดแบบนี้ ในอดีตราคาขายกิโลกรัมละ 16 บาท แต่ตอนนี้ 11 บาท
ผู้ประกอบการธุรกิจรีไซเคิลรับซื้อของเก่าระบุว่า สถานการณ์รับซื้อของเก่าขณะนี้ถือว่าวิกฤติหนัก มีผู้ประกอบการปิดกิจการไปแล้วเกือบครึ่ง ส่วนซาเล้งที่เก็บของเก่าขายก็เริ่มเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น สาเหตุจากขยะ 2 ชนิดหลักคือ กระดาษ และพลาสติก ราคาตก ทำกำไรไม่ได้ หลังพบมีการนำเข้าขยะพลาสติก และขยะรีไซเคิลจากจีน
ตั้งแต่ปี 60-62 มีขยะข้ามแดนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะพลาสติก ซึ่งกระทบกับราคาของเก่าในประเทศ เพราะโรงงานรีไซเคิลจะหันไปนำเข้าขยะแบบตู้คอนเทนเนอร์ที่แยกเป็นแพ็ก เพราะสะดวกและราคาถูกกว่า แต่ก็พบว่ามีความเสี่ยงที่ขยะซึ่งนำเข้ามาอาจจะปนเปื้อนสารพิษ และมีขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้อยู่ในไทยมากขึ้น
ล่าสุดวันนี้กลุ่มซาเล้งที่เก็บของเก่าขาย และผู้ประกอบการรับซื้อของเก่า รวมตัวกันเพื่อเคลื่อนไหว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดนำเข้าขยะจากต่างประเทศชนิดคัดแยกแล้วชั่วคราว เป็นระยะเวลา 6 เดือน พร้อมกำหนดจำนวนโควตาการนำเข้าให้มีความเหมาะสมกับปริมาณกระดาษที่มีในประเทศ รวมทั้งต้องตรวจสอบคุณภาพของขยะที่นำเข้าว่าไม่มีสิ่งเจือปนเกินมาตรฐาน.-สำนักข่าวไทย