สมาคมนักข่าวฯ 1 ธ.ค.- พรรณิการ์ เชื่อ รัฐสภาเรียกความเชื่อมั่นคืนจากประชาชนได้ หาก กมธ.35 คณะร่วมกันทำงานอย่างโปรงใส ขณะที่กษิต มอง 35 คณะ เป็นการแบ่งเค้กมากกว่าตอบสนองประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 13.00 น. วันนี้ (1ธ.ค.)สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม จัดงานเสวนา “คณะกรรมาธิการรัฐสภา ประชาชนหวังพึ่งได้แค่ไหน?” ซึ่งมีนางสาวพรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ นางสาวกัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ และนายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ร่วมเสวนา
นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า สนใจการเมืองมาโดยตลอด แต่ไม่เคยมีการเมืองยุคใดที่กรรมาธิการมีบทบาทเหมือนกับในยุคปัจจุบัน คำถามคือ ทำไมกรรมาธิการคือกลไกที่ประชาชนให้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การเมืองยุคนี้ รัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ ทำให้ความนิยมในตัวฝ่ายค้านและรัฐบาลไม่แตกต่างกัน ประชาชนที่อยากติดตามการทำงานของฝ่ายค้านก็จะติดตามจากกรรมาธิการฯ ในขณะที่รัฐสภาและ ครม.เป็นพื้นที่แสดงผลงานของรัฐบาล ขณะที่คณะกรรมาธิการต่างๆพยายามที่จะทำอะไรแปลกใหม่มากขึ้น อย่างที่ตนทำงานอยู่ในคณะกรรมาธิการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมฯ ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังเติบโต และในต่างประเทศก็มีการถ่ายทอดการประชุมคณะกรรมาธิการต่างๆ จึงได้คิดกันว่า จะใช้โซเชียลมีเดียกับการประชุมกรรมาธิการฯ เมื่อมีประเด็นที่น่าสนใจก็จะมีการไลฟ์สดให้ประชาชนได้เห็นอย่างชัดเจนเพื่อความโปร่งใสกับทุกฝ่าย โดยถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่คณะกรรมาธิการมีการไลฟ์สดผ่านเพจเฟสบุคของคณะกรรมาธิการเอง และมีคนดูประมาณ 2-3 หมื่นคน แต่สุดท้ายก็ต้องลบไลฟ์สดเฟสบุคครั้งแรกออก เพราะในการประชุมวันดังกล่าวมีการให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นข้อมูลลับทางคดี ทำให้ต้องลบคลิปออก
นางสาวพรรณิการ์ ยังยืนยันว่า แม้คณะกรรมาธิการฯจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อคดีต่างๆได้ เนื่องจากมีหลายคดีที่คณะกรรมาธิการฯเรียกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวเชื่อว่า 10 ปีที่ผ่านมา สังคมเกิดความขัดแย้งสูง ความวุ่นวายทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา เมื่อมองกลับมาที่การทำงานของกรรมาธิการฯ แม้จะไม่ใหญ่โตมากนัก แต่กรรมาธิการฯ 35 คณะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด หากทุกคณะทำงานอย่างขยันขันแข็ง โปร่งใส่ และหากทำให้ประชาชนเห็นว่า นักการเมืองต่างพรรคทำงานร่วมกันในคณะกรรมาธิการได้ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน จะเกิดความเชื่อมั่นต่อรัฐสภา และเชื่อมั่นว่า ระบอบตัวแทนจะคือทางออกของประเทศ ประชาชนจะไม่หันไปหาเส้นทางอื่น ทั้งการรัฐประหาร การปราบปราม การประท้วงตามท้องถนน การนองเลือด ดังนั้น หากทำให้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐสภาได้ การประท้วงตามท้องถนนก็จะไม่เกิดขึ้น
ด้าน นายกษิต กล่าวว่า การเป็นนักการเมือง ต้องเปลี่ยนรูปโฉมของประเทศให้ดีขึ้น และขณะนี้ คนเข้าถึงการประชุมคณะกรรมาธิการฯมากขึ้นเนื่องจากมีโซเชียลมีเดีย แต่คนก็ยังไม่ได้สนใจคณะกรรมาธิการทุกคณะ เนื่องจากคนยังสนใจที่ตัวนักการเมืองเป็นรายคนมากกว่า นอกจากนี้ ยังมองว่า การมีคณะกรรมาธิการถึง 35 คณะนั้นมากเกินไป ดูเหมือนเป็นการแบ่งเค้กมากกว่าการตอบสนองความต้องการของประเทศ มีแค่ 20 คณะก็เพียงพอ นอกจากนี้ ยังมีคนที่หากินกับคณะกรรมาธิการ หน้าเดิมๆไปรับตำแหน่งต่างๆ องค์ความรู้ขีดความสามารถของคณะกรรมาธิการฯที่ไม่ใช่ ส.ส.นั้น ตนมองว่าไม่มีประโยชน์ บางครั้งก็ได้ไปต่างประเทศด้วย เป็นการหาช่องทางหากิน จึงถือเป็นการทุจริตอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่า การประชุมคณะกรรมาธิการส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ข้าราชการประจำตัวเล็กๆกลายเป็นกระสอบทราย เพราะรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดีไม่ยอมมาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ
“ข้าราชการประจำ สัปดาห์หนึ่งก็เหงื่อซกไปหากรรมาธิการ ไปให้ ส.ส.ได้ระบายอารมณ์ รัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยไม่กล้ามากรรมาธิการ เพราะเป็นเวทียุทธหัตถี ทั้งที่อยากให้เวทีกรรมาธิการเป็นเวทีศิวิไลย์ ข้อมูลหรือจีทูจีกับประเทศที่เป็นเผด็จการต้องเปิดเผยกับประชาชน ในกรรมาธิการเป็นสถาบันอันสูงส่ง ข้าราชการจะมาบอกว่าเป็นความลับไม่ได้ ในคณะกรรมาธิการ ขออย่าให้ลิ่วล้อมาอยู่ด้วย เอาแค่ ส.ส.ก็พอ ยอมรับว่า การที่พรรคอนาคตใหม่เข้ามา ทำให้รัฐสภาโดดเด่น เพราะสมัยก่อนไม่มีการมาฟาดกันในกรรมาธิการเหมือนสมัยนี้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้กล้าพูด ดังนั้น ก็ขอกระตุ้นกรรมาธิการอื่นๆพูดกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้” นายกษิต กล่าว
ขณะที่นางสาวกัลยา เห็นด้วยกับนางสาวพรรณิการณ์ ที่มองว่า เวทีกรรมาธิการเป็นพื้นที่แสดงผลงานของฝ่ายค้าน แต่ต้องยอมรับว่า กรรมาธิการยุคเดิมมีลักษณะในแบบที่นายกษิตกล่าว ตนจึงได้ปรับการทำงานของคณะกรรมาธิการการสื่อสารฯเป็นไปในเชิงรุก ส.ส.ทุกคนในกรรมาธิการฯถอดหัวโขนความเป็นพรรคออกและร่วมกันทำงาน เพื่อให้น่าเชื่อถือและประชาชนพึ่งพาได้ รวมทั้งไม่สร้างความอึดอัดกับผู้ที่จะมาชี้แจง ไม่ยอมให้ผู้ที่จะมาชี้แจงกลายเป็นกระสอบทราย ขณะที่การแต่งตั้งตำแหน่งที่ปรึกษา เลขาคณะกรรมาธิการ ยอมรับว่า เป็นไปตามที่นายกษิตกล่าว ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเพื่อทำนามบัตร ดังนั้น คณะกรรมาธิการการสื่อสารฯจะขอดูประวัติของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งก่อน โดยต้องมีความสามารถตรงตามวัตถุประสงค์ของคณะกรรมาธิการด้วย
อย่างไรก็ตาม จากกำหนดการของงานเสวนา มีชื่อของ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมเสวนาด้วย แต่ก็ไม่พบนายสิระแต่อย่างใด เนื่องจากระหว่างการเสวนา ผู้จัดงานแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อนายสิระได้ และไม่ทราบว่า นายสิระมาจะร่วมงานเสวนาด้วยหรือไม่.-สำนักข่าวไทย