ทำเนียบฯ 19 ก.ย.-เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เข้าพบ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นตำแหน่ง เชื่อ ไทย-รัสเซียผลักดัน มูลค่าการค้า เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 ขณะที่นายกรัฐมนตรี เชิญ “ประธานาธิบดีปูติน” เยือนไทยอย่างเป็นทางการ
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายคีริลล์ บาร์สกี (Mr. Kirill Barsky) เอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมเอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือไทย – รัสเซีย ซึ่งตลอดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ทั้งสองประเทศขยายความร่วมมือในหลากหลายสาขา โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งปีที่ผ่านมา ไทย – รัสเซีย มีมูลค่าการค้าทวิภาคีเพิ่มขึ้นกว่า 55.68% การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร และประมง โดยรัสเซียมีการนำเข้ายางพาราไทยเพิ่มขึ้น
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับอาเซียน-รัสเซีย และอาเซียน-ยูเรเซีย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้เดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยมีความยินดีและพร้อมต้อนรับ หากประธานาธิบดีปูตินจะเดินทางมาเยือนไทย ในช่วงเวลาที่จะมาเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 ในปลายปีนี้
พล.ท.วีรชน กล่าวว่า ทางด้านเอกอัครราชทูตสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย – รัสเซีย ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ชิด ทั้งสองประเทศยังได้ร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 120 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและรัสเซียในปีที่ผ่านมา ไทย – รัสเซีย ยังได้ขยายความร่วมมืออย่างแนบแน่นทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง นอกจากนี้ นักลงทุนรัสเซียยังแสดงความสนใจที่จะลงทุนในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และโครงการสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถผลักดันมูลค่าระหว่างไทยและรัสเซียให้เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 ตามที่ตั้งเป้าหมายร่วมกันไว้ได้ รวมทั้งจะเร่งรัดกระบวนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย – สหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองอนุภูมิภาคร่วมกัน.-สำนักข่าวไทย