รัฐสภา 7 มิ.ย.-นายกรัฐมนตรีแถลงชี้แจงการจัดทำงบประมาณปี 62 ยืนยันใช้งบ 3 ล้านล้านบาท ตามกรอบวินัยการคลัง แจงใช้งบไม่ลำเอียง ได้ใกล้เคียงทุกภาค ขออย่ามองว่างบจำนวนมากแล้วจะทุจริตมาก ยืนยันมีกลไกลตรวจสอบ ขอหยุดบิดเบือน รับการปฎิรูปมีปัญหาติดขัดโครงสร้าง งบไม่พอและความขัดแย้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่อาคารรัฐสภา สมาชิกสภานิติบัญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการประชุมวาระสำคัญคือการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 โดยมี พล.อ.ประยทุธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เป็นผู้แถลงชี้แจงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 ก่อนแถลง นายกรัฐมนตรีได้ประกาศขอให้สมาชิก สนช.ที่อยู่ด้านนอกให้เข้ามาฟังคำแถลงด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลักการและเหตุผลสำคัญของการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2562 จำนวน 3 ล้านล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นมีงบประมาณรายจ่าย ในการจ่ายเงินแผ่นดิน พร้อมย้ำว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี ถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ที่สอดคล้องกับสภาวะการทางเศรษฐกิจและสังคม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2-4.7 ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภายในประเทศ และการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 0.7-1.7 ขณะที่ปี 2562 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.9-4.9 โดยมีปัจจัยการสนับสนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนในภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่เข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้าง เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยว ยังมีการขยายตัวตามแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจปี 2562 ยังมีแนวโน้มเกณฑ์ดี โดยคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ร้อยละ 0.9-1.9 ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุลประมาณ ร้อยละ 6.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้รัฐบาลประมาณการจัดเก็บรายได้ปี 2562 สุทธิทั้งสิ้น 2,673,000 ล้านบาท และต้องจัดสรรให้กับท้องถิ่น 120,000 ล้านบาท ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 เป็นการดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ จำนวน 2,550,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 450,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตลอดจนทำให้รายจ่ายและรายรับของรัฐมีความสมดุล และใช้เงินโดยรักษาวินัยการเงินการคลังให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด จึงขอให้เชื่อมั่นในการใช้งบประมาณของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า งบประมาณที่รัฐบาลจัดทำขึ้นมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยังยืน ตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สอดคล้องการปฎิรูปประเทศ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 อาทิ การขับเคลื่อนประเทศ สู่ประเทศไทย 4.0 นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และนโยบายรัฐบาล รวมถึงน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ โดยจำแนกงบปรมาณ ออกเป็น 6 กลุ่มเพื่อให้เกิดความชัเดเจน และจัดสรรงบประมาณตามหลักความสำคัญ ประกอบด้วย 1.กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบุคคลากรภาครัฐ 2.กลุ่มงบประมาณรายจ่ายกระทรวง / หน่วยงาน หรือฟังส์ชั่น 3.กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ จำนวน 21 เรื่อง 4.กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบูรณาการเชิงพื้นที่ จำนวน 3 เรื่อง 5.กลุ่มงบประมาณรายจ่ายบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ และ 6.กลุ่มงบกลาง โดยพิจารณาการใช้จ่ายครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณ เงินนอกงบประมาณ และแหล่งเงินอื่น ๆ ทั้งยังยึดหลักการมีส่วนรวมของประชาชน ดำเนินการตามหลักเกณฑ์วินัยการเงินการคลังของรัฐ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบประมาณประจำปี วงเงิน 3 ล้านล้านบาท จำแนกเป็น รายจ่ายประจำ 2,261,488.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 75.4 รายจ่ายลงทุน จำนวน 660,305.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 และรายจ่ายชำระหนี้เงินกู้ภาครัฐ จำนวน 78,205.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.6 นอกจากนี้ยังจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง วงเงิน 329,239.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน วงเงิน 406,496 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13.5 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน วงเงิน 560,884.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.7 ด้านการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างการเติบโตจากภายใน วงเงิน 397,581.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.3 ด้านการจัดการน้ำและดูแลสิ่งแวดล้อม วงเงิน 117,266 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 ด้านบริหารจัดการภาครัฐ 838,422.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.9 และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ วงเงิน 350,109.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.7
“สาระสำคัญของการดำเนินการภาครัฐ ภายใต้ร่างงบประมาณนี้ จึงมีประเด็นสำคัญประกอบด้วย การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ผลักดันผลผลิตภาคการเกษตร มุ่งยกระดับรายได้ปี 61/62 เป็น 61,000 บาท ต่อครัวเรือนต่อปี / ส่งเสริมอุตสาหกรรม สร้างโอกาสด้านการลงทุน เชื่อมโยงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน และภูมิภาคต่าง ๆ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงการริเริ่มพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เชื่อมโยงโครงข่ายขนส่ง ทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ นอกจากนี้ให้ความสำคัญด้านการศึกษาด้วยการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมวัย จนตลอดชีวิต จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี พัฒนาคุณภาพจัดการศึกษาโรงเรียนประชารัฐ ไม่น้อยกว่า 4,500 แห่ง ส่งเสริมการเรียนอาชีวะศึกษา รวมถึงการให้บริการด้านสาธารณสุข ในระบบประกันสุขภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียม พร้อมกันนี้ ขับเคลื่อนประเด็นการปฎิรูปพลังงาน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ขณะที่งบลงทุน ที่ลงไปสู่ภูมิภาค จำนวน 411,552.3 ล้านบาท ถูกจัดสรรลงไปสู่ 6 ภูมิภาค ที่สอดคล้องกับจำนวนประชากร และนโยบายสำคัญของรัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม สู่เป้าหมายประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การจัดทำงบประมาณ แสดงให้เห็นถึงเจตนาของรัฐบาลที่มีความมุ่งมั่นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ปฎิรูปประเทศ แก้ไขปัญหาเร่งด่วน ให้เป็นรูปธรรม เกิดความยั่งยืน บนพื้นฐานความพอเพียงในระยะยาว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่สำคัญ คือ การบูรณาการเชิงพื้นที่ และคำนึงถึงความต้องการของประชาชนเป็นหลัก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในอนาคตอยากให้มีนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ดูแลประชาชนทั่วประเทศอย่างเท่าเท่าเทียม ไม่เลือกพรรคพวก หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้ส่วนตัวได้กำชับทุกกระทรวงไปดำเนินการจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ซึ่งรัฐบาลนี้จัดสรรงบประมาณแต่ละภาคอย่างใกล้เคียงกัน ซึ่งการดำเนินการทุกอย่าง จะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่ออนาคตของเด็กและเยาวชนของประเทศที่กำลังเติบโต ยึดหลัก มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และยังอยากเห็นก่อนการเลือกตั้งจะต้องลดความขัดแย้ง การหาเสียงจะต้องไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน แต่เป็นการหาเสียง นโยบายที่จะทำเพื่อประชาชน สำหรับการปฎิรูปประเทศ ที่ทุกภาคส่วนมีความสำคัญในการช่วยกันขับเคลื่อน แม้จะเกิดปัญหาในด้านงบประมาณ และการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างบ้าง แต่ก็ต้องดำเนินการ และใช้เวลาในการขับเคลื่อน ซึ่งตนยังอยากให้ทุกคนเลือกรับข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่สร้างการบิดเบือนข้อมูล และหันมาสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีหลักคิด เพื่อลดความขัดแย้ง ก่อนที่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามโรดแมปที่วางไว้
“ขออย่ามองว่าการตั้งงบประมาณในปีนี้ 3 ล้านล้านบาทที่สูงกว่าปีที่แล้ว 2.5 ล้านล้านบาท งบเยอะขึ้นจะมีการทุจริตมากขึ้น เพราะถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อยากให้ดูว่างบที่สูงขึ้น เพราะต้องแก้ไขปัญหาในอดีต เป็นงบพัฒนาและการลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งการจัดทำงบ ไม่ได้ง่ายเลยที่จะทำให้มีประสิทธิภาพ ถูกต้องและไม่มีการทุจริต รัฐบาลมีกลไกในการตรวจสอบ เมื่อมีข้อทักท้วงมาจาก สตช.และ ป.ป.ช. เราก็ตรวจสอบ หากไม่ผิดกฎหมาย ก็สามารถทำได้ ดังนั้นจึงไม่อยากให้มีคนนำไปบิดเบือน ส่วนการจัดสรรงบ เราได้กระจายให้ทุกภาคได้เงินใกล้เคียงกัน เพราะนี่คือรัฐบาลของคนทั้งประเทศ ไม่ได้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือพวกของตัวเอง ซึ่งผมก็หวังว่ารัฐบาลหน้าที่ท่านเลือกมา จะทำแบบนี้ด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สำหรับการปฏิรูป ยอมรับว่ายังมีปัญหา เพราะติดขัดเรื่องโครงสร้าง งบประมาณไม่เพียงพอ และความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ มีการกล่าวร้ายใส่กันไปมา ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะต้องแก้ไขให้ได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งที่ยังคงเป็นไปตามโรดแมปเดิมที่วางไว้
“ผมขอชื่นชมโครงการ สนช.พบประชาชนว่าเป็นโครงการที่ดี รัฐบาลก็จะส่งคนไปร่วมด้วย เพราะนี่ถือเป็นการทำงานของแม่น้ำ 5 สายที่บูรณาการกัน โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญที่แม่น้ำ 5 สายต้องทำงานอย่างหนักในการนำพาประเทศก้าวไปสู่ประชาธิปไตย และปัญหาของประเทศในขณะนี้ ส่วนหนึ่งมาจากคนไม่เกรงกลัวกฎหมาย อ้างแต่ประชาธิปไตย รัฐบาลทำอะไรไม่ได้เลย คนรุ่นใหม่ไร้ขีดจำกัด สามารถล้างได้ทุกอย่าง นี่หรือคือคนยุคใหม่ อยากให้ทุกคนช่วยกันดูด้วย สุดท้าย ผมขอโทษ หากใช้คำที่ไม่เหมาะสม เพราะมีความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้หากจะวิจารณ์ตัวผม สามารถทำได้ แต่การที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ขอให้ระมัดระวัง เพราะตำแหน่งนี้มีเกียรติ” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย