กรุงเทพฯ 10 เม.ย. – พีทีทีจีซี พร้อมปรับตัวรับทั้งกรณีเอ็กซอนโมบิลจะลงทุนปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในไทย และวิเคราะห์ความเสี่ยง หากเกิดสงครามการค้าสหรัฐและจีน พร้อมเดินหน้าโครงการปิโตรเคมีในสหรัฐ โดยจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายปลายปีนี้
ในการประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือพีทีทีจีซี วานนี้ (9 เม.ย.) ผู้ถือหุ้นได้มีการไต่ถามถึงโครงการลงทุนปิโตรเคมีในสหรัฐ กำลังผลิตโอเลฟินส์ 1.5 ล้านตัน ซึ่งจะต้องมีเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานบอร์ด ชี้แจงว่าโครงการนี้ได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซสหรัฐต่ำและตลาดในสหรัฐยังเติบโต โดยจะมีการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายปลายปีนี้ ซึ่งได้มอบหมายให้ทางผู้บริหาร บมจ. ปตท.ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และดูถึงทุกประเด็น เพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่นอกประเทศ
ส่วนประเด็นการโต้แย้งทางการค้าสหรัฐและจีน รวมถึงการที่กลุ่มเอ็กซอนโมบิลมีแผนเข้ามาลงทุนโรงงานเอทิลีนแครกเกอร์ มูลค่า 200,000 ล้านบาทในไทย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาคนี้ ทางพีทีทีจีซี ได้พร้อมปรับตัวรับมือทุกด้าน ทั้งการลงทุนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงโอเลฟินส์ที่ใช้แนฟทาที่เป็นผลพลอยได้มาเป็นวัตถุดิบ จากเดิมขายออกไปและต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมปลายน้ำ โครงการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษอีกหลายโครงการ รวมถึงการทำตลาดภูมิภาคซีแอลเอ็มวี มากขึ้น เพราะ เป็นกลุ่มที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต ความต้องการเม็ดพลาสติกเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันมีเป็นจำนวนมาก โดย บริษัทยังมีเวลา 5-6 ปีกว่าที่โครงการลงทุนของเอ็กซอนฯ จะขึ้นได้ ดังนั้น จึงมีโครงการลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุด
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ พีทีทีจีซี คาดว่าการเจรจาของจีนและสหรัฐอาจจะทำให้ไม่เกิดสงครามทางการค้า อย่างไรก็ตาม หากเกิดปัญหาจริง ทางบริษัทน่าจะได้รับผลดี เพราะจีนยังต้องการนำเข้าเม็ดพลาสติกอีกมาก และทางสหรัฐอาจจะไม่สามารถส่งเข้าไปขายได้มาก จึงเป็นโอกาสที่ดีของผู้ผลิตเม็ดพลาสติกของไทย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนักลงทุนทั่วโลกคลายความกังวล คาดว่าสหรัฐและจีนจะสามารถกลับสู่โต๊ะเจรจา เพื่อแก้ไขข้อพิพาททางการค้าได้ สะท้อนมายังราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 2 หลังตลาดหุ้นในสหรัฐดีดตัวเพิ่มขึ้น โดยวานนี้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.36 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ปิดที่ 63.42 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ตลาดเบรนท์ กรุงลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.54 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 68.65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจการกลั่นปี 2561 พบว่าปริมาณการกลั่นโลกเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่คาดว่ามีโอกาสที่โครงการใหม่ ๆ อาจจะล่าช้าไป ความต้องการใช้น้ำมันยังเติบโตแต่สำรองน้ำมันสำเร็จรูปลดลงต่อเนื่อง ส่งผลค่าการกลั่น (Market GRM)น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ ส่วนกลุ่มโอเลฟินส์คาดว่าราคาและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์กับแนฟทามีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากกำลังผลิตใหม่จากสหรัฐ ทำให้กระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคนี้ โดยบริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานปีนี้จะยังดีต่อเนื่องจากปีก่อน โดยปี 2560 บริษัทมีรายได้จากการขาย439,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 39,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นได้แสดงความสนใจโครงการ UPCYCLING THE OCEANS THAILAND ที่พีทีทีจีซี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และอีโคอัลฟ์ (ECOALF) บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแฟชั่นที่ยั่งยืนชื่อดังของโลกร่วมกันดำเนินการการ เพื่อร่วมแก้ปัญหาขยะในทะเลของไทย โดยนำขยะจากท้องทะเลมาผลิตเป็นเส้นใยและผลิตเป็นสินค้า เสื้อ กระเป๋า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในปีนี้. – สำนักข่าวไทย