กรุงเทพฯ 28 ม.ค. – รถยนต์ไฮบริดมาแรงปี 67 ยอมรับแบงก์ปฏิเสธปล่อยกู้กว่าร้อยละ 70 ยอดขายตก ห่วง “ทรัมป์” เข้มงวด นำเข้ารถยนต์ กังวลรถยนต์ไฟฟ้าจีนทุ่มตลาดในปี 68
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศในปี 2567 จำนวน 459,856 คัน ผลิตเพื่อส่งออก 1,009,141 คัน ขณะที่ในปี 68 ตั้งเป้าหมาย ยอดผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายในประเทศ 1 ล้านคัน จึงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย การผลิตรถยนต์ยังเกิน 1 ล้านคัน ถือว่ายังไม่เป็นปัญหาวิกฤติสำหรับกลุ่มยานยนต์
ยอมรับว่า ค่ายรถยนต์น้ำมันจากญี่ปุ่น หันมาผลิตรถยนต์ไฮบริดมากขึ้น เพื่อแข่งกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ทำให้รถยนต์ไฮริดราคาลดลงกว่าร้อยละ 50 จากเดิมราคา 1.4-1.5 ล้านบาท/คัน ลดเหลือ 7-8 แสนบาทต่อคัน ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้น เพื่อแข่งกันรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ปี 67 มียอดขายรถ PHEV ในปี 67 จำนวน 2,391 คัน รถยนต์ HEV จำนวน 117,789 คัน โดยในปี 68 ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออก 1 ล้านคัน ผลิตเพื่อขายในประเทศ 5 แสนคัน สำหรับยอดจดทะเบียนรถยต์ไฟฟ้าในปี 68 อาจเพิ่มจากปี 67 เพียงเล็กน้อย โดยต้องดูปัจจัยการปล่อยกู้จากแบงก์ และการลดราคาของรถไฟฟ้าจากจีนแข่งขันในตลาด


สำหรับปัจจัยบวกต่อผลิตรถยนต์ในประเทศปี 68 คือ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อชดเชยการนำเข้าตามโครงการ EV 3.0 ในสัดส่วนของการนำเข้า 1.5 เท่า ย้ำหากผลิตไม่ทัน จะไม่ได้รับค่าชดเชยตามเงื่อนไข รัฐบาลคาดหวังผลักดันจีดีพีโตมากกว่าร้อยละ3 ในปี 68 จะทำให้ยอดการผลิตยอดขายทำได้ตามเป้าหมาย ในปี 67 มียอดของรับส่งเสริมจากบีโอไอสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10ปี เพิ่มร้อยละ 35 จากปี 66 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มูลค่ากว่า 102,000 ล้านบาท
ส่วนปัจจัยลบ สภาอุตสหากรรมฯ เป็นห่วง ความเข้มงวดของสถาบันการเงินปล่อยกู้การซื้อรถ ทำให้ยอดปฏิเสธสูงกว่าร้อยละ 70 จึงกระทบต่อยอดขาย เนื่องจากคุมเข้มปัญหาหนี้ครัวเรือน หลังแบงก์ชาติ กำชับต้องปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ มาตรการเข้มงวดในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของประเทศคู่ค้า บางรุ่นอาจส่งออกไปไม่ได้ รวมถึงมาตรการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ อาจกระทบถึงไทย จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด. -515- สำนักข่าวไทย