กทม. 12 มี.ค.-รพ.รามาธิบดี แถลงเหตุเพลิงไหม้ ผู้ป่วยทุกคนปลอดภัย มีบุคลากร 1 คน บาดเจ็บสูดเขม่าควัน รักษาตัวอยู่ไอซียู คาดกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์ ด้านอุปนายกวิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเบื้องต้นอาคารยังอยู่ในสภาพปกติ ขณะที่ พฐ. คาดไฟฟ้าลัดวงจร
ศ.คลินิก นพ.อาทิตย์ อังกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี แถลงความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ ที่อาคารหลัก (อาคาร 1) ของ รพ.รามาธิบดี เมื่อช่วงค่ำวานนี้ จุดเกิดเหตุอยู่ที่ชั้น2 เป็นสำนักงานของภาควิชารังสีวิทยา และเป็นที่เก็บฟิล์มเอกซเรย์บางส่วน อยู่ใกล้กับคลังเลือด และห้องแลปพยาธิวิทยา หลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มควันจำนวนมากขึ้นไปที่บริเวณชั้น3และชั้น4 ซึ่งเป็นห้องแลปพยาธิวิทยา ได้เร่งอพยพผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล ซึ่งอาคารนี้มีคนไข้อยู่ 500-600 เตียง โครงสร้างอาคารแบ่งออกเป็นฝั่งทิศเหนือและทิศใต้ คล้ายรูปตัวH โดยจุดเกิดเหตุอยู่ที่บริเวณทิศใต้ ทั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วนเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายคนไข้จำนวน 191 คนออกมาได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ กระจายไปยังอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์และอาคารผู้ป่วยที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยยังสามารถดูแลคนไข้เดิมที่อยู่ใน รพ.ได้ทั้งหมดจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปควบคุมเพลิง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เพลิงจึงสงบลง แต่ยังมีควันหลงเหลืออยู่ในอาคารอีกจำนวนมาก และมีเขม่าขึ้นไปที่บริเวณชั้น 3-4
ผลกระทบเกิดขึ้นที่บริเวณชั้น 2 ชั้น 3 และชั้น 4 เป็นห้องปฏิบัติการทางรังสีวิทยา และแลปพยาธิวิทยา ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ เขม่า และการฉีดน้ำดับเพลิง จึงต้องปิดดำเนินการในส่วนนี้ไปก่อน รวมถีงพื้นที่ใกล้เคียงอย่างห้องผ่าตัด และห้องคลอดด้วย ดังนั้นจึงต้องจำกัดคนไข้ที่จะต้องเข้ามารับบริการในช่วงนี้ ยังไม่สามารถรับเคสใหม่ๆ ได้ จนกว่าจะเคลียร์พื้นที่ได้ทั้งหมด
ส่วนผลกระทบทางด้านรังสีวิทยา และพยาธิวิทยา ต้องย้ายไปให้บริการในตึกอื่นๆ แทน อาจมีผลกระทบทำให้ไม่ได้รับความสะดวกบ้าง
ทั้งนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสูดเขม่าควัน 1 คน ซึ่งเป็นบุคลากรที่เข้าไปช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ขณะนี้ได้รับการดูแลอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) และได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
ส่วนข้อกังวลเรื่องรังสีรั่วไหล ทางทีมวิศวกรรมได้ตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วไหลของรังสี พร้อมอธิบายว่า เครื่องเอกซเรย์ ใช้ไฟฟ้า ถ้าเปิดสวิตซ์ถึงจะมีแสงเอกซเรย์ออกมา ถ้าไม่ได้เปิดสวิตซ์ ก็จะไม่มีรังสีออกมาก ซึ่งในขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ตัดระบบไฟฟ้าทั้งหมด ฉะนั้นจึงไม่มีรังสีรั่วไหลเกิดขึ้น
อีกจุดที่ได้รับผลกระทบ คือ คลังเลือด ที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ เนื่องจากขณะดับเพลิงจำเป็นต้องตัดไฟ ตู้เย็นที่เก็บเลือดก็ไม่เย็น เลือดที่อยู่ในคลังซึ่งมีอยู่ราว 100 ยูนิต จึงได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่เนื่องจากยังมีคลังเลือดอีกแห่งที่อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ แต่มีขนาดย่อมกว่า มีเตียงรับบริจาคแค่ 5 เตียง ทำให้มีเลือดใช้น้อยลง และจำเป็นต้องเลื่อนเคสผ่าตัดไม่เร่งด่วนที่ต้องใช้เลือดปริมาณเยอะออกไปก่อน

ทั้งนี้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งหมดได้ เนื่องจากที่บริเวณชั้น 3-4 เป็นจุดที่ตั้งอุปกรณ์เกี่ยวกับการวิเคราะห์ราคาแพง ที่ใช้ในการตรวจเลือด และสารเคมีในเลือด ส่วนการกลับมาให้บริการผู้ป่วย ในส่วนของหอผู้ป่วยสามัญ ผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยวิกฤต และห้องคลอด คาดว่าจะกลับมาให้บริการได้ภายใน 1 สัปดาห์ ยกเว้นบริเวณห้องต้นเพลิงและพื้นที่ใกล้เคียง
รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งนำทีมเข้ามาตรวจความปลอดภัยเชิงโครงสร้างในจุดเกิดเหตุ บอกว่า จากการตรวจสอบด้วยสายตา เบื้องต้นในทางกายภาพ อาคารยังอยู่ในสภาพปกติ มีความเสียหายบางส่วนบริเวณผิวพื้นชั้น3 ซึ่งเป็นหลังคาของชั้น2ห้องที่เกิดเหตุ ขอให้งดเข้าพื้นที่ก่อนเพื่อความปลอดภัย จนกว่าจะมีการตรวจสอบทางวิศวกรรมเชิงลึก ที่มีผลการทดสอบอย่างละเอียดที่ชัดเจน พร้อมทั้งทำโหลดเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้มาใช้บริการ
พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. บอกว่า ทีมกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ บอกว่า เบื้องต้นเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร พบจุดที่เป็นต้นเพลิงอยู่บนฝ้า มีร่องรอยการสปาร์คและหลอมละลาย และเนื่องจากเป็นอาคารเก่า ที่มีการดัดแปลงและรีโนเวทอยู่บ่อยครั้ง จึงมีสายไฟเก่าอยู่ด้านบนฝ้าเป็นจำนวนมาก จากนี้จะต้องนำจุดที่สายไฟมีการหลอมละลายไปตรวจในห้องปฏิบัติการอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนต่อไป.-418.-สำนักข่าวไทย