กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – KBank Private Banking และ Lombard Odier คาดเศรษฐกิจโลกจะชะลอลงแบบ Soft Landing แนะจัดพอร์ตลงทุนรับมือทิศทางดอกเบี้ยขาลง ชี้ความเสี่ยงยังไม่หมดไป ให้เน้นกระจายการลงทุน บริหารความเสี่ยงสินทรัพย์
KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงานสัมมนา “Repositioning Portfolio To Embrace Rate Cuts” วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยคาดว่ามีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอลงแบบ Soft Landing และเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จึงประเมินว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ดี ยังมีหลายความเสี่ยงที่กระทบตลาดทุนที่นักลงทุนต้องจับตา อย่างอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะสูงยาวนานต่อเนื่อง (Higher for Longer) ความขัดแย้งทั้งสงครามกายภาพและสงครามการค้า รวมถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีที่อาจจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แนะให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว โดยเน้นลงทุนแบบ Risk-based ที่กระจายลงทุนในสินทรัพย์หลักทั่วโลกกระจายลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และการลงทุนทางเลือก เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2567 ถือว่าเป็นปีที่ดีของการลงทุน ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากปี 2566 เห็นได้จากที่ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างดัชนีหุ้นทั่วโลก (MSCI All Country World Index) ปรับเพิ่มขึ้น +11.5% เป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวได้ดี จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ฟื้นตัวและเติบโตขึ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ท้าทายตลาดลงทุนที่นักลงทุนต้องจับตาในอีกหลายประการ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อไหร่ ใครจะเป็น ผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองโลก อย่างมีนัยสำคัญ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของสงครามที่ใช้อาวุธและกำลังคน หรือสงครามการค้าและเทคโนโลยี
มร.โฮมิน ลี Senior Asia Macro Strategist, Lombard Odier (Singapore) กล่าวว่า ครึ่งหลังของปี 2567 จึงประเมินว่าภาพรวมตลาดลงทุน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง นำโดยภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตชิปที่กำลังเป็นความต้องการจากทั่วโลก นอกจากนี้ แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่คาดว่า FED มีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งภายในปีนี้ ประกอบกับตลาดแรงงานเริ่มลดความร้อนแรงลงบ้าง จากตัวเลขตำแหน่งงานว่าง (Job openings) ค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง และอัตราการว่างงานที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะไม่กระทบกับเงินเฟ้อ จนกระทบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาสำหรับ สหรัฐฯ ในครึ่งหลังของปีก็คือการเลือกตั้งซึ่งผลสำรวจพบว่ามีโอกาสที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่ง Trump 2.0 อาจจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านตลาดแรงงาน เศรษฐกิจ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านยุโรป หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ยไปแล้ว และคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็ก และจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในยุโรปกลับมาฟื้นตัวได้ดี
ในขณะที่จีนยังคงเผชิญความท้าทาย นอกจากประเด็นภาคอสังหาฯ แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ที่มีการเลือกตั้งในสหรัฐฯ อาจมีการยกระดับสงครามการค้า โดยตั้งแต่ปี 2561 สัดส่วนการนำเข้าจากสินค้าจากจีนมาสหรัฐฯ ปรับลดลง อย่างมีนัยสำคัญ และเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติก็ปรับลดลงด้วย เหตุการณ์สำคัญที่ต้องจับตาคือ การประชุมของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่สาม (China’s Third Plenum) และการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง (China’s Politburo) ในเดือนกรกฎาคม โดยคาดว่าทางการจีนจะออกมาตรการหนุนภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาต่อไป
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย แนะนำให้แบ่งเงินลงทุนเพื่อสะสมและต่อยอดความมั่งคั่งในระยะยาว ออกเป็น 2 ส่วน คือ พอร์ตหลัก (Core portfolio) คิดเป็นสัดส่วน 50-70% ให้ลงทุนโดยเลือกกองทุนผสมแบบ Risk-based approach ที่กระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งค่าความผันผวน (VIX Index) ที่ใช้หลักการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ไม่ขึ้นกับการคาดการณ์ของตลาดหรือผู้จัดการกองทุน ส่วนพอร์ตเสริม (Satellite portfolio) คิดเป็นสัดส่วน 30-50% โดยแบ่งการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Growth เช่น กองทุนหุ้นสหรัฐฯ แม้ว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นมามากแล้ว แต่ก็หนุนโดยกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ราคาหุ้นในปัจจุบันวัดจากปัจจัยพื้นฐาน (Valuation) แล้ว ยังถือว่าราคาไม่แพง และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก , การลงทุนตราสารหนี้ อย่าง พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Bond Yield) ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงและมีโอกาสปรับลงในระยะข้างหน้า เมื่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ FED ชัดเจนขึ้น ทำให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยมีความน่าสนใจ ส่วนการลงทุนทางเลือก เช่น กองทุนทางเลือกที่มีกลยุทธ์ซื้อขายสกุลเงินหลักของโลก ที่เน้นลงทุนในสกุลเงินหลักที่คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น. -511-สำนักข่าวไทย