กรุงเทพฯ 22 ส.ค.- “สติธร” มอง รัฐบาล”เศรษฐา1” ดันนโยบายดิจิตอลวอลเล็ต ไร้ปัญหา มีงบกลาง-งบประมาณเหลือบางส่วน ชี้ เป็นโครงการเฉพาะหน้า รัฐบาลใหม่ขยับไม่ได้มาก งบถูกวางกรอบไว้แล้ว แนะแกนนำรบ.ไม่จำเป็นต้องกลุ่มกระทรวงเกรดเอทั้งหมด แต่ให้ผูกโยงกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันนโยบาย สร้างผลงาน
นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงภาพรวมรัฐบาล “เศรษฐา1” ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมและรวมกับขั้วรัฐบาลเดิม ที่ประกาศเดินหน้าผลักดันนโยบายดิจิตอลวอลเล็ต ว่า นโยบายดิจิตอลวอลเล็ต ผลักดันไม่ยากเนื่องจากเป็นโครงการเฉพาะหน้า ที่ใช้งบกลางและงบประมาณที่เหลือบางส่วนมาผสมกัน น่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และการเป็นนโยบายเฉพาะหน้า เฉพาะกิจ จะทำให้คนรู้สึกว่ารัฐบาลเข้ามาก็สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้เลย แต่โจทย์ต่อไปคือหลังจากนั้นจะทำอย่างไรเพราะนโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมากเต็มที่ 6 เดือน
เมื่อถามว่า งบประมาณน่าจะไม่มีปัญหาและพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการขับเคลื่อนนโยบายนี้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่ นายสติธร กล่าวว่า ใช่ เพราะเข้าใจว่าการใช้งบประมาณขับเคลื่อนนโยบายนี้จะใช้งบกลางเป็นส่วนใหญ่ และไม่กระทบกับกระทรวงอื่นที่ไปอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งตัวรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ไม่สามารถขยับตัวอะไรได้มาก เพราะงบประมาณถูกวางกรอบเอาไว้แล้วสำหรับปีแรกในการทำงาน จึงต้องไปดูงบประมาณฯในปี 2568 ว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลจะจัดสรรและวางกรอบงบประมาณอย่างไรเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
ส่วนที่หลายคนมองว่าจะเอางบประมาณจากไหนในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ นายสติธร กล่าวว่า ปกติแล้วเรื่องงบประมาณอาจจะไม่ค่อยติดมาก แต่จะติดเรื่องการใช้จ่ายและการถูกตรวจสอบ ซึ่งการร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะที่เป็นอดีตพรรครัฐบาลเดิมที่สลายขั้วกันมา ดังนั้นการใช้งบประมาณ เพื่อทำนโยบายของพรรคเพื่อไทยก็ไม่น่าจะมีปัญหาในแง่จะถูกข้อทักท้วงว่าเป็นการใช้งบประมาณถูกต้องหรือไม่ ซึ่งน่าจะดำเนินการได้และเสียงข้างมากของรัฐบาลชุดนี้ก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง 300 กว่าเสียง
เมื่อถามว่ามองเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่สำหรับนโยบาย ดิจิตอลวอลเล็ต นายสติธร กล่าวว่า ในระยะสั้นเป็นอย่างนั้น เพราะรัฐบาลถูกตั้งบนสถานการณ์ที่คนไม่พอใจเยอะเพราะมีการข้ามขั้วมาจับมือกัน โฉมหน้าที่คนก็รู้สึกว่ารัฐบาลเก่ารวมกับพรรคเพื่อไทย หน้าตารัฐมนตรีก็อาจจะคล้ายเดิมหรือไม่ ดังนั้นการที่จะผลักนโยบายอะไรออกไป ที่จะสามารถเห็นผลได้ทันทีโดยเร็วก็จะสามารถลดกระแสต่อต้านเหล่านี้ได้ซึ่งก็เป็นผลดี พร้อมย้ำว่าในระยะสั้นอาจจะเป็นผลดีแต่สิ่งที่ต้องคิดต่อไปก็คือนอกจากนโยบายดิจิตอลวอลเล็ตแล้ว ยังมีนโยบายอื่นที่พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ตัวเองกับการเดิมพันตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ซึ่งน่าจะเป็นโจทย์ใหญ่
ส่วนที่มีโผครม.”เศรษฐา1” ที่นายเศรษฐา ทวีสินจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สร้างความเชื่อมั่นหรือจะเป็นไปได้หรือไม่ นายสติธร กล่าวว่า อาจจะสร้างความเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่งที่นายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และภาพลักษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็มีภาพของนักบริหารที่เข้าใจเรื่องการเงิน เพียงแต่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยกระทรวงการคลังทั้งหมด มีกระทรวงอื่นเป็นองค์ประกอบด้วย ซึ่งจะเห็นว่าหลายกระทรวงมีความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่อาจไปอยู่ในโคต้าของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอยู่ที่ฝีมือของนายเศรษฐาว่าจะทำงานกับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นได้ดีขนาดไหน รวมไปถึงการผลักดันนโยบายที่กระทบกับเศรษฐกิจปากท้อง เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจปากท้องคนจะคาดหวังกับพรรคเพื่อไทยมากเป็นพิเศษ
ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ขณะนี้ปรากฏรายชื่อนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในโควต้าของพรรครวมไทยสร้างชาติ นายสติธร กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อรัฐมนตรีหรือไม่ แต่โควต้ายังอยู่กับพรรคเดิม แนวโน้มก็น่าจะ เป็นคนที่มีเครือข่ายคอนเน็คชั่นส์สังกัดเดิมเข้ามา แต่ภาพลักษณ์คงจะแก้ยาก อยู่ที่ตัวนายกฯ และรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่จะต้องทำให้คนรู้สึกต่อต้านให้น้อยที่สุด และต้องมองหานโยบายที่จะทำอย่างไรให้เป็นการช่วยลดภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนโดยเร็ว ซึ่งก็อาจจะ ช่วยลดกระแสได้นอกจากการวางตัวคนและการเสนอชุดนโยบาย เฉพาะหน้าที่ทำให้คนรู้สึกว่าภาระเรื่องพลังงานทำให้ ได้รับการช่วยเหลือดูแลก็จะเยียวยาความรู้สึกได้
เมื่อถามถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใหม่ แต่ครม.เกือบจะเป็นหน้าเดิม เพียงแค่เปลี่ยนตัวแกนนำรัฐบาลเป็นพรรคเพื่อไทย นายสติธร กล่าวว่า ภาพลักษณ์นี้อาจจะติดตัว และเมื่อพรรคร่วมรัฐบาลเคยเป็นรัฐบาลเดิมแกนนำคนสำคัญ ก็อยากมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งคงจะหน้าซ้ำ สิ่งที่อาจจะช่วยได้คืออาจต้องท่องคาถาแบบนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า “ ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ก็อาจจะช่วยได้ ประเมินหน้าตาเปลี่ยนไม่ได้ แต่พฤติกรรมอาจจะเปลี่ยนได้มากกว่า
ส่วนกระทรวงเกรดเอที่ปกติแล้วพรรคแกนนำตั้งรัฐบาลจะต้องดูแล แต่ครั้งนี้มีกระแสข่าวว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะนั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นการเสียรางวัดหรือไม่ นายสติธร มองว่า เรื่องกระทรวงไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องการบริหารงานหากจะให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ ทำให้ประชาชน รู้สึกว่ารัฐบาลทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน มันอยู่ที่การผูกกระทรวงที่ได้มาเป็นแพคเกจมากกว่า “ถ้าจะเน้นไปทางสังคมก็เอากระทรวงด้านสังคม ซึ่งอาจจะมีทั้ง เกรดเอ เกรดบี เกรดซี มารวมกัน และดันนโยบายเชิงบูรณาการให้แต่ละกระทรวงมีบทเล่นของตัวเอง จะช่วยได้ดีกว่า ส่วนประเภทไปเกลี่ยกระทรวงเกรดเอ เกรดบี เกรดซี อาจจะทำให้รูปแบบการทำงานไม่ยืดหยุ่นพอ ก็อยู่ในสภาวะจำเป็น ที่ต้องแบ่งกระทรวงเกรดเอให้เพื่อนบ้างเป็นธรรมดา เราเก็บเอ บี ซีอะไรไว้ได้ ก็พยายามจัดให้เป็นแพคเกจเดียวกัน และชูเป็นเซ็ตนโยบาย อันนี้อาจจะช่วยได้ซึ่งจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรมาก เช่น กระทรวงใหญ่ ก็ต้องมีทั้งรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วย ที่ต้องมาแบ่งงานกันภายใน และพยายามเก็บหน่วยงานภายใต้กระทรวงนั้นนั้นที่สามารถทำงานร่วมกันกับกระทรวงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐมนตรีให้ได้มากที่สุด จะเพียงพอต่อการสร้างชุดนโยบายที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ได้บ้าง” นายสติธร กล่าว.-สำนักข่าวไทย