กรุงเทพฯ 31 ส.ค. –นักวิชาการ เชื่อแม้ 3 ป.ไม่มีตำแหน่งการเมือง แต่เชื่อว่ายังมีบารมีทางการเมืองและเป็นที่พึ่งใบบุญให้ส.ส.ได้ เพราะการครองอำนาจกว่า 9 ปีมีรากฐานในโครงสร้างเหนียวแน่น พร้อมชี้ครม.ใหม่มีโอกาสราบรื่น หากทำงานทันทีมีผลงานเข้าตา
นายสติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเตรียมลาออกจากส.ส.ว่า พล.อ.ประวิตรคงไม่สะดวก เพราะการเป็นส.ส.ต้องทำหน้าที่เข้าประชุมสภา แต่ยังเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรคงยังไม่ถึงกับวางมือทางการเมือง และยังสามารถดูแลคนที่จะหวังพึ่งใบบุญทางการเมืองจากพล.อ.ประวิตรได้ เพราะได้มีการวางรากฐานอะไรต่าง ๆ เอาไว้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปนั่งที่สภา ก็ยังสามารถบริหารจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจได้ อีกทั้งยังมีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายมาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และพรรคพลังประชารัฐยังต้องพึ่งบารมีพล.อ.ประวิตร แม้ว่าจะลาออกจากส.ส.ไปแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันทางด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แม้ประกาศวางมือทางการเมือง ไม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแต่เชื่อว่ายังเป็นผู้มีบารมีทางการเมืองไทยต่อไป
“ทั้งสองท่าน กรณีพล.อ.ประวิตรจะเป็นผู้มีบารมีของพรรคพลังประชารัฐเป็นหลัก แต่ระดับพล.อ.ประยุทธ์ท่านต้องเป็นผู้มีบารมีทางการเมืองของประเทศไทย และจริงๆ อาจจะทั้ง 3 ท่านก็ยังอยู่ เพราะการอยู่ในอำนาจ 9ปีกว่า มีรากฐานทางอำนาจในโครงสร้างค่อนข้างจะเหนียวแน่นอยู่แล้ว การที่บุคคลลุกออกไป ไม่ได้แปลว่าโครงสร้างเหล่านั้นถูกเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง” นาย สติธร กล่าว
นาย สติธร ยังกล่าวถึงโผคณะรัฐมนตรีว่า เป็นที่แน่นอนว่านายเศรษฐา ทวีศิลป์ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีสิทธิเลือกรัฐมนตรีด้วยตัวเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลที่ส่งรายชื่อมา และในส่วนกรณีของพรรคเพื่อไทย พรรคก็เป็นคนเลือกคนมาทำงาน รวมถึงการประสานตั้งรัฐบาล นายเศรษฐาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่ง โดยเป็นเพียงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ก็เชื่อว่าจะรัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เป็นพรรคของนายเศรษฐา ซึ่งเริ่มตั้งแต่หาเสียง ทำนโยบายกันมา ก็เป็นนโยบายที่หาเสียงในนามพรรคเพื่อไทย แปลว่าใครเข้าเป็นรัฐบาล จะต้องทำตามที่พรรคหาเสียงไว้ และนายเศรษฐาก็ทราบเรื่องนี้ดีว่าทำงานไปตามแนวทางที่พรรคนำเสนอโรดแมปมาให้สำเร็จ
ส่วนกรณีที่หลายคนถูกติงเรื่องคุณสมบัตินั้น นายสติธร กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติตัวบุคคลเป็นภาระของนายกรัฐมนตรี และพรรคที่ส่งเข้ามาทำงานจะต้องดูแลร่วมกัน เพราะเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ หากภาพลักษณ์ไม่ดี แต่ยังจะให้ดำรงตำแหน่ง ก็ต้องทำงานให้ดี หากภาพลักษณ์ไม่ดีแล้วไม่ทำงานด้วย ก็คงต้องปรับออก หากไม่มีผลงาน กระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็จะเยอะ และต้องยอมรับว่าครม.ชุดนี้กว่าจะตั้งมาได้ ต้องฝ่ามรสุมมามาก ดังนั้นต้องเริ่มทำงานได้เลย ไม่มีฮันนีมูนพีเรียท เพราะปัจจุบันคนจะไม่ให้เวลานานเหมือนในอดีต ต้องถือว่ามีความพร้อมตั้งแต่เสนอตัวเข้ามาทำงานแล้ว
“ที่สำคัญรัฐบาลชุดนี้กว่าจะตั้งได้ใช้เวลากว่า 3 เดือน ซึ่งคนรอมานานแล้ว ดังนั้นก็คงไม่รอแล้ว ต้องทำงานเลย เนื่องจากคนคาดหวังสูง ต้องเป็นผลงานเป็นรูปธรรม ไม่เช่นนั้นจะมีคนมาคอยทวงสัญญาทุกวันแน่ โดยเฉพาะนโยบายที่ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาบ นายสติธร กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวหวังอยากเห็นรัฐบาลที่ทำงานหนัก และทำงานตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนตามที่คาดหวัง ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป เพราะการทำงานและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประชาชนยอมรับได้ จะทำให้วิบากกรรมของการตั้งรัฐบาลที่ยืดเยื้อ และคนมีปฏิกิริยาต่อต้าน จะลดลงไป และทำให้คนที่เชียร์รัฐบาลชุดนี้สมหวัง จะช่วยให้รัฐบาลอยู่ได้ยืดยาว” นายสติธร กล่าว.-สำนักข่าวไทย