กรุงเทพฯ 10 มิ.ย. – “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” ขอรัฐบาลใหม่ทบทวนวิธีการคำนวณการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใน กทม. พร้อมเร่งประสานความร่วมมือคืนทางเท้าตลอดเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู
(10 มิ.ย.66) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าฯ กทม. สัญจร เขตหลักสี่” เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการตามนโยบายติดตามผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน (Traffy Fondue) ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของสำนักงานเขต
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการสัญจรครั้งที่ 29 เขตหลักสี่ เขตนี้นั้นกึ่งเขตชานเมืองและเขตชั้นใน มีพื้นที่ประมาณ 21 ตารางกิโลเมตร ประชากรประมาณ 100,000 คน ปัญหาใหญ่ของเขตหลักสี่ที่พบคือ เรื่องคมนาคม ปัจจุบันเขตหลักสี่มีถนนหลัก 4 เส้น ได้แก่ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนกำแพงเพชร และถนนงามวงศ์วาน แต่ทั้ง 4 เส้นนี้มีเพียงถนนงามวงศ์วาน เพียงเส้นเดียวที่กรุงเทพมหานครดูแล ที่เหลือเป็นของกรมทางหลวง เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหา เช่น การก่อสร้าง กทม. เข้าไปกำกับดูแลได้ค่อนข้างยาก ขณะนี้จะเห็นว่าถนนที่มีการจราจรติดขัดหนักคือ ถนนแจ้งวัฒนะ ไปถึงรามอินทรา เนื่องจากมีการสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ซึ่งทั้งถนน และรถไฟฟ้าสายสีชมพู อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมทางหลวง และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เมื่อมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าจึงเกิดการขุดประปา สายไฟ ทำให้ทางเดินเท้าใช้งานไม่ได้ มีประชาชนร้องเรียนเรื่องนี้เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทาง กทม. ได้ยื่นปัญหาเรื่องนี้ให้กับพรรคก้าวไกลเมื่อครั้งที่ได้หารือกันที่ผ่านมา เพื่อเน้นการประสานงานระหว่างหน่วยงานกันมากขึ้น เพราะการจะแก้ไขปัญหาในพื้นที่เขตบางเรื่องก็อยู่นอกอำนาจของ กทม.
สำหรับเมื่อวานนี้ได้เชิญรองผู้ว่าฯ รฟม. และรองอธิบดีกรมทางหลวง ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าในภาพรวมของการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู จุดที่ 1 Big C Supercenter แจ้งวัฒนะ (เยื้องศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ) และจุดที่ 2 บริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ถึงวงเวียนบางเขน เขตบางเขน เพื่อรับทราบถึงแผนการคืนสภาพผิวจราจร ทางเท้า การระบายน้ำ ตลอดเส้นทางการก่อสร้าง พร้อมรับฟังปัญหาที่กระทบต่อประชาชนและแนวทางแก้ไข เช่นเดียวกับข่าวเมื่อวานนี้กรณีถนนรามอินทรา เขตคันนายาว ทรุดลึก 1 เมตร ถนนดังกล่าวก็อยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง บ่อที่ทรุดเป็นของการไฟฟ้านครหลวง ที่ได้มีการก่อสร้างบนถนนกรมทางหลวง ฉะนั้นในอนาคตต้องทำให้ความร่วมมือเข้มข้นและเข้มแข็งขึ้น โดยที่ กทม. จะเป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหา
ปัญหาต่อมาคือ น้ำท่วมในพื้นที่ ในเขตหลักสี่ คลองระบายน้ำหลักคือ คลองเปรมประชากร ซึ่งคลองเปรมประชากรเรามีโครงการสร้างเขื่อนและย้ายชุมชนที่อยู่ริมคลอง ปัจจุบันมีประชาชนที่ยังไม่ได้ย้ายประมาณ 1,600 หลังคาเรือน เนื่องจากประชาชนบางส่วนยังไม่เห็นด้วยในหลักการ จึงทำให้การสร้างเขื่อนเกิดความล่าช้า และทำให้การขุดลอกคลองเปรมประชากรเป็นไปได้ยาก เพราะมีบ้านเรือนประชาชนรุกล้ำอยู่ หากเข้าไปทำการขุดลอกคูคลองอาจจะทำให้บ้านทรุดตัวได้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อเนื่องไปยังการระบายน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ กทม. ต้องเร่งดำเนินการ
โดยภาพรวมภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของ กทม. การเก็บภาษีอาจจะได้เพิ่มขึ้นจากภาษีโรงเรือน แต่การเพิ่มขึ้นนั้น ที่มาของรายได้อาจจะแตกต่างกัน เช่น แต่ก่อนผู้ประกอบการธุรกิจจ่ายภาษีโรงเรือนเยอะ แต่ปัจจุบันกลายเป็นคนที่มีที่ดินจึงจ่ายภาษีมากกว่า
จากการประเมินปี 2565 และ 2566 กระทรวงการคลังได้มีการปรับเกณฑ์ตัวเลขที่น่าสนใจ คือเจ้าของที่ดินที่ กทม. เก็บภาษีมากที่สุดในเขตหลักสี่ คือ ศูนย์ราชการ ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ เนื่องจากได้มีการพัฒนาดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ทำให้ กทม. ต้องเก็บภาษี ในปี 2565 ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์เป็นศูนย์ราชการที่ต้องเสียภาษีตามปกติ กระทรวงการคลังได้มีการประเมินภาษีว่าธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ต้องเสียภาษีให้แก่ กทม. 56 ล้านบาท แต่ปี 2566 เหลือเพียง 25 ล้านบาท ขณะที่ที่ดินแปลงอื่นที่มีขนาดเล็ก ราคาประเมินเสียภาษีกลับเพิ่มขึ้น ที่ดินขนาดใหญ่กลับเสียภาษีน้อยลง ทั้งที่อยู่พื้นที่ใกล้เคียงกัน นี่เป็นสิ่งที่ต้องฝากรัฐบาลใหม่ให้ช่วยทบทวนวิธีการคำนวณการเสียภาษีเป็นอย่างไร เนื่องจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นภาษีที่สำคัญของท้องถิ่น สำหรับการเก็บภาษีของเขตหลักสี่ปีนี้คาดว่าจะเก็บได้ประมาณ 290 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับภาษีโรงเรือน
สำหรับภาพรวมเขตหลักสี่เป็นเขตที่มีการขยายตัวมากขึ้น ประชาชนอยู่ในพื้นที่มากขึ้น แผนการพัฒนาสวน 15 นาที ก็ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งพื้นที่เขตควรจะมี 8 สวน ขณะนี้แล้วเสร็จ 1 สวน กำลังดำเนินการอีก 3 สวน และจะขยายเพิ่มต่อไปในอนาคต เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ออกกำลังกายให้กับประชาชนมากขึ้น การปลูกต้นไม้เขตหลักสี่ ปลูกไปกว่า 10,000 ต้น แต่ยังคงต้องเน้นการปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มขึ้น
ส่วนการเตรียมความพร้อมการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบบัญชีรายชื่อในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 6 หน่วยเลือกตั้ง ในวันอาทิตย์ที่ 11 มิ.ย. 66
เรื่องนี้ไม่ได้มีความกังวลใด พร้อมดำเนินการตามแนวทางที่ กกต. กำหนด อาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิบัติการ แต่ในมิติว่าเกิดเหตุนี้ได้อย่างไร คงต้องมีการสรุปอีกครั้ง ที่ผ่านมาเราทำได้ค่อนข้างดี เช่น กล้อง CCTV ยังคงมีการเก็บข้อมูลอยู่กรณีที่ต้องมีการนับคะแนนใหม่ จะเห็นว่าหัวใจหลักของการเลือกตั้งคือการสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน หากประชาชนยอมรับผลการเลือกตั้งก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และทำให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความมั่นใจมากขึ้น
สำหรับช่วงบ่าย ผู้ว่าฯ ชัชชาติ และคณะผู้บริหาร เยี่ยมชมสวนเกษตรดาดฟ้า และร่วมกิจกรรมสาธิตย้ายต้นกล้าผักลงแปลงปลูก เก็บเกี่ยวผลผลิตในแปลงสาธิต การทำน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกผลไม้ หลังจากนั้นลงพื้นที่ 5 จุด ได้แก่ จุดที่ 1 ตรวจเยี่ยมชมรมผู้สูงอายุเคหะชุมชนทุ่งสองห้อง ศูนย์สาธารณสุข 53 สวนสาธารณะทุ่งสองห้อง และชุมชนโดยรอบ
จุดที่ 2 ตรวจเยี่ยมการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซอยแจ้งวัฒนะ 14 และตรวจเยี่ยมบ้านหนังสือเมืองทองนิเวศน์ 1 จุดที่ 3 ติดตามการตัดราวสะพานด้านหลังสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ชุมชนตลาดหลักสี่ จุดที่ 4 ติดตามความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมคัดแยกขยะ โครงการ ข.ไข่ ข.ขวด ชุมชนพัชราภา และจุดที่ 5 ตรวจสอบการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขตหลักสี่ บริเวณซอยพหลโยธิน 49/1 .-สำนักข่าวไทย