กระทรวงกลาโหม 24 มี.ค. – “พล.อ.ประยุทธ์-ผบ.เหล่าทัพ” ชมนิทรรศการอาวุธ ก่อนประชุมสภา กห. ชื่นชมฝีมือทหารไทย-หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อยอดการวิจัยยุทโธปกรณ์ ใช้ได้จริง ต้นทุนต่ำ แต่มาตรฐานสากล หวังลดการซื้อจากตปท.
ก่อนการประชุมสภากลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยปลักกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้แทนผู้บัญชาการทหารอากาศ ชมบูธนิทรรศการแสดงงานวิจัย พัฒนายุทโธปกรณ์ ที่ห้องสุรศักดิ์มนตรี ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม จัดโดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธฯ และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) โดยได้วิจัย พัฒนาและผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่นำมาทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ และนำไปใช้งานจริงในกองทัพด้วยราคาต่ำกว่าการจัดซื้อจากต่างประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวชื่นชมในงานวิจัยฝีมือคนไทยและขอให้ภูมิใจในหน่วยงานกลาโหม และ DTI ที่มีขีดความสามารถในการ พัฒนาอุตสาหกรรมประเทศ สามารถนำไปใช้ได้จริงในเหล่าทัพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างชมนิทรรศการ พล.อ.ประยุทธ์ได้ทดลองเล็งปืนเล็กยาวที่วิจัยพัฒนาให้เหมาะสมกับสรีระของทหารไทย โดยปรับปรุงให้ง่ายต่อการบำรุงรักษาและซ่อมบำรุง ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ได้พัฒนาปืนเล็กยาว ขนาด 5.56 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นการต่อยอดจากงานวิจัยของ กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ในปี 2563ให้สามารถนำมาใช้งานได้จริง โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2564จนถึงปัจจุบัน มีแผนนำเข้าประจำการปี 2567- 2568 โดยหน่วยได้วิเคราะห์ทางวัสดุศาสตร์และทางวิศวกรรม ใช้วัสดุที่มีแพร่หลายภายในประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ สามารถนำมาผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ของปืนได้
การต่อยอดการวิจัยดังกล่าวผ่านกระบวนการวิจัยร่วมกันจากสำนักงานปลัด กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนได้ปืนต้นแบบที่มีความยาวลำกล้อง 14.5นิ้ว และ 20 นิ้ว เข้ารับการทดสอบจากคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม จำนวน 15 สถานี ทดสอบการยิงด้านความทนทาน การยิงในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ณ สนามฝึกทางยุทธวิธี กองพลทหารราบที่ 9จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 19-30 กรกฎาคม 2565 จนได้รับการรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 25ตุลาคม 2565 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลเดียวกับที่ต่างประเทศกำหนด มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศมาก
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบสายการผลิต เพื่อเตรียมความพร้อมของเครื่องจักร รวมทั้งทดสอบการจัดหาวัสดุชิ้นส่วนและดำเนินการผลิต Pilot Lot จำนวน 25กระบอก เพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จและความเป็นมาตรฐานระดับสากลในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าการจัดซื้อจากต่างประเทศ สำหรับในขั้นตอนต่อไป ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธฯ จะนำไปประจำการเพื่อใช้ในการรักษาการและการฝึกของหน่วย จำนวน 400กระบอก โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2567- 2568 เพื่อให้รับทราบ FEED BACK จากการใช้งานจริงในระยะยาวและนำมาปรับปรุงต่อไป
สำหรับการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ที่ขาดแคลน อาทิ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ขาดแคลนชิ้นส่วนปืนซุ่มยิง Ballet 0.50 นิ้ว และ Stoner SR – 25 สป. ได้ร่วมกันแก้ปัญหาโดยผลิตชิ้นส่วนที่ขาดแคลนที่มีมาตรฐาน สามารถทำงานได้อย่างปกติและมีความทนทานสูง และยังคงมีโครงการร่วมกันในอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาชิ้นส่วนอาวุธอื่น ๆ ที่มีอยู่ต่อไป ส่วนปืนขนาด 9มิลลิเมตร ทั้งปืนยาวและปืนสั้น เป็นการขยายผลจากองค์ความรู้ที่ได้จากการพัฒนาปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มิลลิเมตร ขยายสายการผลิตเพื่อสนองตอบต่อความต้องการใช้งานของหน่วยงานอื่น ๆ อาทิ ตำรวจตระเวนชายแดน กรมป่าไม้ หรือกระทรวงมหาดไทย
ทั้งนี้ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (DTI) ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอกชน และจัดทำโครงการวิจัยยานเกราะล้อยางแบบ 8×8 “พยัคฆ์ทะเล” ให้กับกองทัพเรือ ตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกัน โดยการวิจัยพัฒนาตอบสนองการใช้งานให้กับนาวิกโยธิน ทั้งนี้ผลงานดังกล่าวได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กองทัพเรือแล้ว และปัจจุบันบริษัทได้รับการเชิญเข้าสู่กระบวนการจัดหาของกองทัพเรือในการจัดหายานเกราะลำเลียงพลแบบ 8×8 ในปีงบประมาณ 66ซึ่งในการผลิตมีชิ้นส่วนในประเทศประมาณ 40%
โครงการผลิตอากาศยานไร้คนขับร่วมกับมิตรประเทศ (จีน) เพื่อให้เกิดการต่อยอดองค์ความรู้ โดยมีกองทัพบกเป็นผู้ใช้งาน และจากการวิจัยทำให้ สทป. ได้ต้นแบบอุตสาหกรรมของ อากาศยาน ไร้คนขับ รุ่น DP20 โดยพร้อมส่งมอบให้กองทัพบก ในเดือนเมษายน 2566 และในปัจจุบันสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้ทำการวิจัยต่อยอดเพื่อให้ได้อากาศยานไร้คนขับแบบติดอาวุธ ตามดำริของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ รุ่น DP20/A ซึ่งจะสามารถส่งให้กองทัพบกได้ ได้ในปี 2567
สำหรับผลงานวิจัยที่พร้อมจำหน่ายให้กับเหล่าทัพ ประกอบด้วย 1. อากาศยานไร้คนขับ รุ่น D – EYE 01 และ D – EYE 02 เป็นผลงานวิจัยที่เป็นต้นแบบอุตสาหกรรมพร้อมผลิตและขาย ทั้งนี้ทั้ง ๒ รุ่นได้ผ่านการทดสอบทดลองใช้งานมาในระดับหนึ่งแล้วจากเหล่าทัพ โดยเฉพาะ D – EYE O2 ได้ผ่านการรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม แล้ว เมื่อปี 2563ทั้ง 2ระบบเป็น UAV มาตรฐานทางทหาร 2. หุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD ROBOT) รุ่นหนูนา และ D – EMPRIER เป็นหุ่นยนต์ที่ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศได้ร่วมวิจัยพัฒนากับสถาบันการศึกษา รวมทั้งได้รวบรวมความต้องการจากหน่วยงานภายในกระทรวงกลาโหม เพื่อวิจัยให้ตรงความต้องการของหน่วยใช้ จนสามารถตอบสนองความต้องการ และได้ต้นแบบอุตสาหกรรม ทั้ง 2 รุ่น รวมทั้งผ่านการรับรองมาตรฐานของคณะกรรมการมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหมแล้วเช่นกัน
ปัจจุบันสามารถเข้าสู่กระบวนการผลิตและขายได้แล้ว 1 รายการ คือ รุ่นหนูนา โดยมีกรมสรรพาวุธทหารเรือ กองทัพเรือ (สพ.ทร.) เป็นผู้จัดหา และอยู่ในกระบวนการจัดหาอีก 1รายการ คือ D – EMPRIER โดยมี กรมสรรพาวุธทหารอากาศ กองทัพอากาศเป็นผู้จัดหา.-สำนักข่าวไทย