กรุงเทพฯ 25 พ.ค.-ช่วงเวลา 3 วันที่ผ่านมา เกิดเหตุความไม่สงบใน 3 ประเทศของกลุ่มอาเซียน คือ ไทย ฟิลิปปินส์ และล่าสุดที่อินโดนีเซีย 3 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ ทีมข่าวสำนักข่าวไทย อสมท สอบถามเรื่องนี้กับนักวิชาการด้านความมั่นคง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 3 ประเทศใน 3 วันติดต่อกัน
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นติดต่อกันหลายประเทศช่วงนี้ ตั้งแต่เหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในไทยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม เหตุก่อการร้ายที่ฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม และเหตุระเบิดล่าสุดเมื่อคืนนี้ที่อินโดนีเซีย ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่จะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ยังไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัด
รัฐบาลไทยพุ่งเป้าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการเมืองในประเทศ มากกว่าที่จะเป็นการก่อการร้ายเหมือนอีก 2 ประเทศ ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาผู้นำฟิลิปปินส์มาเยือนไทย ได้หารือกันในเรื่องก่อการร้าย และทางการมาเลเซียประสานรายชื่อผู้ก่อการร้ายที่ต้องการตัวเดินทางเข้ามาในไทย แต่ไทยได้ยืนยันไปว่าไม่มีกรณีดังกล่าว
ก่อนหน้านี้มีสัญญาณเตือนให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระวังความเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการรัฐอิสลาม หรือไอเอส ที่ขยายอิทธิพลเข้ามา ซึ่งนักวิชาการวิเคราะห์ว่า สาเหตุเกิดจากไอเอสสูญเสียพื้นที่ตะวันออกกลาง ทำให้โลกตกอยู่ในสภาพเสี่ยงต่อปฏิบัติการของไอเอส
นอกจากนี้ นักวิชาการยังชี้ว่า ไทยไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ตกเป็นเป้าโจมตีของไอเอส แต่ไทยเป็นประเทศที่ชาติมหาอำนาจมีผลประโยชน์อยู่ด้วย จึงต้องดูแลสถานการณ์เข้มงวด
ขณะนี้ทุกสายตาจับจ้องถึงความเคลื่อนไหวเหล่านี้ จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงที่จะป้องกันไม่ให้การก่อการร้ายสากลเข้ามาใช้พื้นที่ไทยก่อเหตุขณะเดียวกันต้องประสานข้อมูล เพื่อรับมือกับการก่อการร้ายมิติใหม่ที่เป็นภัยคุกคามประเทศในภูมิภาคเอชียตะวันออกเฉียงใต้.-สำนักข่าวไทย