กรมป่าไม้ 18 พ.ค.-รมว.ทรัพยากรฯ เตรียมขอ คสช.ใช้วิธีพิเศษเร่งรัดคดี ผู้มีอิทธิพลรุกป่าในคดีที่ล่าช้ามาก มั่นใจการบูรณาการรอบใหม่จะทำให้นายทุนและผู้มีอิทธิพลเลิกทำผิดกฎหมาย
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)แถลงภายหลังการประชุมร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษในสังกัดกระทรวง ตัวแทนทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามทำลายทรัพยากรป่าไม้ ว่า เพื่อยกระดับในการป้องกันปราบปราม และหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงร่วมกันจัดตั้ง ‘ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าง ขึ้นมา ตั้งอยู่ที่กรมป่าไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติภารกิจ โดยรวมกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษทั้ง 3 ชุดประกอบด้วย ชุดพยัคฆ์ไพรของกรมป่าไม้, ชุดพญาเสือ ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชและชุดปฏิบัติการพิเศษฉลามขาวของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)มาบูรณาการทำงานร่วมกัน ในการลงพื้นที่ปฏิบัติการ และสนธิกำลังร่วมกับทหารและตำรวจตามการร้องขอ
รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ศูนย์การประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่การสืบสวน การดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม จนสามารถขยายผลไปถึงตัวผู้อยู่เบื้องหลัง โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าสามารถเข้าไปดำเนินการได้ในทุกพื้นที่และนำกฎหมายทุกฉบับมาบูรณาการเพื่อดำเนินการในพื้นที่ได้อย่างทันเหตุการณ์
รมว.ทรัพยากรฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการปฏิบัติมุ่งเน้นไปในพื้นที่ล่อแหลมต่อการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ , พื้นที่ที่นายทุนหรือผู้มีอิทธิ พลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งการรวมกำลังพลเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆครั้งนี้จะทำให้การปฎิบัติการรวดเร็วขึ้น และหวังว่าผู้มีอิทธิพลจะเปลี่ยนใจเลิกทำผิดกฏหมายหรือยุติบทบาทในการทำลายทรัพยากรป่าไม้ พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การเตือน หรือการขู่ผู้มีอิทธิพล แต่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามความเหมาะสมเพื่อปกป้องผืนป่า 323ล้านไร่ ซึ่งเป็นของคนไทยทุกคนและจะไม่ยอมให้ผู้มีอิทธิพลเพียงบางคนบางกลุ่มมายึดเป็นพื้นที่ส่วนตัวอย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการดำเนินคดี โดยเฉพาะคดีที่มีผู้มีอิทธิพลหรือนายทุนเกี่ยวข้อง ทำให้คดีล่าช้า และเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เตรียมประสานขอให้ คสช.ใช้ ช่องทางพิเศษในการเร่งรัดคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยได้สั่งการให้ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าไปตรวจสอบคดีทั้งหมดและนำมาแยกแยะว่า คดีใดอยู่ในข่ายที่ต้องดำเนินการบ้าง โดยมองว่าจะต้องดำเนินการกับคดีที่มีผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด เพราะเป็นบุกรุกป่าโดยเจตนาและใช้ช่องทางของกฎหมายในการแสวงหาประโยชน์รวมทั้งใช้อิทธิพลทำให้คดีดำเนินการล่าช้า
สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบันสามารถบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่บุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าได้ 20,310 คดีได้ผู้ต้องหา 4352 คน ยึดคืนพื้นที่ได้ 513,556 ไร่ และสามารถบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่ลักลอบตัดไม้มีค่าในเขตป่าจำนวน 24,330 คดี ได้ผู้ต้องหา 12,163 คน ยึดไม้ของกลางได้ 1,112,274 แผ่นปริมาตรไม้ 50,247 ลูกบาศก์เมตร.-สำนักข่าวไทย