สตอกโฮล์ม 29 เม.ย.- สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์มเผยว่า ปีที่แล้วงบกลาโหมของสหรัฐเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2553 สะท้อนถึงนโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เช่นเดียวกับงบกลาโหมทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นเป็นปีที่สองติดต่อกัน
รายงานใหม่ของสถาบันระบุว่า ปีที่แล้วงบกลาโหมทั่วโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เป็น 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 57.43 ล้านล้านบาท) สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลโลกอย่างครบถ้วน 5 ประเทศที่ใช้จ่ายด้านกลาโหมมากที่สุดได้แก่ สหรัฐ จีน ซาอุดีอาระเบีย อินเดีย และฝรั่งเศส รวมกันแล้วเท่ากับร้อยละ 60 ของงบกลาโหมโลก งบกลาโหมสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เป็น 649,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 20.7 ล้านล้านบาท) เพราะการปฏิบัติตามโครงการจัดซื้อจัดจ้างอาวุธใหม่ปี 2560 ขณะที่งบกลาโหมจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็น 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.97 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 24 ติดต่อกัน และมากกว่าปี 2537 เกือบสิบเท่า
หากดูเป็นภูมิภาคพบว่า เอเชียและโอเชียเนียมีงบกลาโหมเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2541 งบปีที่แล้วรวมอยู่ที่ 507,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว16.18 ล้านล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 28 ของทั้งโลก เทียบกับปี 2541 ที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 9 ของทั้งโลก รายงานระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างประเทศในภูมิภาคและระหว่างจีนกับสหรัฐเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภูมิภาคนี้มีการใช้จ่ายด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรปกลางและตะวันออกที่งบกลาโหมเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเพราะเกรงภัยคุกคามจากรัสเซีย ทั้งที่งบกลาโหมรัสเซียลดลงร้อยละ 3.5 เหลือ 61,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.96 ล้านล้านบาท) ส่วนอเมริกาใต้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เพราะบราซิลใช้จ่ายทางทหารมากขึ้น แอฟริกาลดลงร้อยละ 8.4 ลดลงเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน และตะวันออกกลางลดลงร้อยละ 1.9.-สำนักข่าวไทย