วอชิงตัน 23 ก.ค. – ทำเนียบขาวของสหรัฐประกาศวันอังคารว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดสินใจที่จะให้สหรัฐถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งเป็นการกระทำที่ซ้ำรอยจากที่เขาเคยทำเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรกและถูกยกเลิกโดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
การถอนตัวจากยูเนสโก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส ของฝรั่งเศสครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในปลายปีหน้า
การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศแบบ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการมองกลุ่มพหุภาคีด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ไม่ว่าจะเป็นสหประชาชาติ องค์การการค้าโลก และพันธมิตรในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต
แอนนา เคลลี (Anna Kelly) โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า ยูเนสโกสนับสนุนประเด็นเรื่องการตื่นรู้เรื่องความไม่เท่าเทียมและสร้างความแตกแยกทางวัฒนธรรมและสังคม ในขณะที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้กล่าวหายูเนสโกว่าสนับสนุนอุดมการณ์ของการพัฒนาระหว่างประเทศแบบโลกาภิวัฒน์ ซึ่งขัดแย้งกับนโยบายต่างประเทศ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของสหรัฐ นอกจากนี้ ยังระบุว่าการตัดสินใจของยูเนสโกในการรับปาเลสไตน์เป็นรัฐสมาชิกนั้น มีปัญหาอย่างยิ่ง ขัดต่อนโยบายของสหรัฐ และมีส่วนทำให้คำพูดต่อต้านอิสราเอลแพร่หลาย
ออเดรย์ อาซูเลย์ (Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการยูเนสโก กล่าวว่าเธอเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการตัดสินใจของนายทรัมป์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยูเนสโกคาดไว้แล้ว
ยูเนสโกเป็นหนึ่งในหลายหน่วยงานระหว่างประเทศที่นายทรัมป์ให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกเมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งในสมัยแรก ซึ่งรวมถึงองค์การอนามัยโลก ข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ รัฐบาลทรัมป์ในสมัยแรกเคยประกาศถอนตัวในปี 2560 หลังจากกล่าวหายูเนสโกว่ามีอคติต่อต้านอิสราเอล ก่อนที่อดีตประธานาธิบดีไบเดนจะกลับเข้าไปเป็นสมาชิกอีกครั้งปี 2566.-813.-สำนักข่าวไทย