โฆษก ทอ. ลั่น นักการเมืองเป็นตัวชี้ชะตาความมั่นคงประเทศ

กทม. 23 ก.ย.-โฆษก ทอ. ลั่น นักการเมืองเป็นตัวชี้ชะตาความมั่นคงประเทศ เห็นชัดหลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เผย ทอ.เจอภัยคุกคามทางไซเบอร์จำนวนมาก ขณะที่สื่อมวลชน ยันประเทศชาติยังคงต้องการทหาร และพร้อมให้การช่วยเหลือ นำเสนอข่าวสารความจริง สู้กับเฟคนิวส์กัมพูชา

เวลา 15.00 น. วันที่ 23 ก.ย. 68 ที่โรงแรมอัศวิน พล.อ.ท. ประภาส สอนใจดี รองเสนาธิการทหารอากาศ และโฆษกกองทัพอากาศ พร้อม พล.อ.ท. บุญเลิศ อันดารา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศกองทัพอากาศ และตัวแทนสื่อมวลชนสายทหาร อาทิ นายชูชาติ แก้วเก่า สังกัดข่าวสด , นายสุวิทย์ มิ่งมล สังกัด MCOT และนายศุภฤกษ์ ธงไชยฤทธิ์ ผู้ดูแลเพจ ปู้ด ปูดข่าว ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ บทบาทสื่อมวลชนกับการสื่อสารในภาวะวิกฤตเพื่อความมั่นคง”


พล.อ.ท. บุญเลิศ ระบุว่า ในประเด็นมุมมองของส่วนงานความมั่นคงต่อสถานการณ์ที่ผ่านมาของไทย-กัมพูชา นั้นตนมองว่าในมุมหนึ่งของความเป็นคนที่เฝ้ามองข่าว มองว่าสถานการณ์นี้คือบททดสอบของการทำงานร่วมกันของทุกองค์กรภายในประเทศนี้ เพราะเรามีความสงบสุขมาอย่างยาวนาน เราไม่มีภัยชายแดนอธิปไตยในสถานการณ์ใหญ่มาเลย ฉะนั้นจึงเป็นบททดสอบของความร่วมมือของทุกภาคที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่นคง กระทรวงกลาโหมกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจ กระทรวงมหาดไทย และรัฐบาล แต่ที่สำคัญตนขอแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนแรกสถานการณ์หน้างานยังคงคุยกันอยู่ , ส่วนที่สองรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ , ส่วนที่สามคือสื่อมวลชน และส่วนที่สี่คือสังคมโลก

สำหรับมุมมองของความมั่นคง ในเรื่องความร่วมมือของกองทัพในช่วงสถานการณ์แบบนี้นั้น พล.อ.ท. บุญเลิศ มองว่า ถ้าพูดว่าความมั่นคงของชาติ หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ ทุกหน่วยงาน ทุกมิติ ทุกอำนาจ บทเรียนที่ประชาชนต้องได้ คือ สื่อประชาชนต้องโปร่งใสในเรื่องของข้อเท็จจริงและความเร็ว ต้องมีความต่อเนื่อง และต้องทันเวลา ซึ่งต้องทันกับประเทศคู่ต่อสู้ของเรา ต้องเท่าทันกลยุทธ์ฝั่งตรงข้าม


พล.อ.ท. ประภาส กล่าวว่า ความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นทันที มีการเกิดขึ้นหลายระดับ รูปแบบที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยกำลังทหารอย่างเดียว พอสามารถแก้ไขด้วยทางการเมือง ข่าวสารและทางการทหาร ย้ำว่านักการเมืองมีความสำคัญมากในการกำหนดนโยบายว่าเราจะทำอย่างไร เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นความมั่นคงจะทำอย่างไร เราจะต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริง

ที่ผ่านมากองทัพอากาศโดนภัยคุกคามทางไซเบอร์จำนวนมาก แม้แต่เพจ เว็บไซต์ต่างๆ ก็เป็นของกัมพูชา ที่พยายามเข้ามาเอาข้อมูลจากฝ่ายเรา แต่ระบบหลังบ้านสามารถสกัดไว้ได้

ด้าน นายสุวิทย์ กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงไป ระหว่าง คำว่า จรรยาบรรณ กับเรทติ้ง ดรามา บางครั้งอาจต้องหลับตาข้างหนึ่ง บางข่าวอาจมีการล้ำเส้นไปบ้าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สื่อต้องการข้อเท็จจริงเป็นทางการและรวดเร็ว ซึ่งอยู่ที่ฝ่ายความมั่นคงจะบริหารจัดการอย่างไรในขณะที่ภาคสนามก็ต้องรับฟังจากกองบรรณาธิการไม่สามารถตัดสินใจได้


ในช่วงเกิดสถานการณ์แรกๆ เคยเสนอความเห็นไปว่าฝ่ายความมั่นคง ควรเชิญบรรณาธิการไปคุยว่านี่ คือสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศมีความล่อแหลม การมีรายงานสดในบางทีซึ่งเป็นจุดที่กระทบต่อเรื่องของการใช้กำลังทหาร สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการชี้พิกัดที่ตั้ง จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านการทหารในการตรวจจับของฝ่ายตรงข้าม

พล.อ.ท. ประภาส กล่าวเสริมว่า โดยหลักการแล้วการสื่อสารในภาวะวิกฤตก็มีการฝึกกันอยู่แล้วและมีการเตรียมการโดยเฉพาะในแง่ของความมั่นคง เรามีการเตรียมการการออกข้อมูลข่าวสารต่างๆ แต่เมื่อความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นสิ่งที่ทุกคนต้องการเห็น คือ กระทรวงการต่างประเทศ โฆษกรัฐบาล ที่เป็นเซ็นเตอร์ดำเนินการต่างๆ จึงทำให้เกิดช่องว่างขึ้น แต่ในหน่วยความมั่นคงนั้นหลังจากศูนย์บริหารเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) และทุกกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน พร้อมที่จะให้ข้อมูล แต่ข้อมูลบางอย่างไม่เคยเกิดขึ้น เช่น ในส่วนของการบอกตำแหน่งหรือพิกัดต่างๆ แต่ขณะเดียวกันเราก็สู้กับเฟคนิวส์ หรือข่าวปลอมจากฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกว่าจะตั้งหลักได้ก็ใช้เวลาเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ว่า คนฝึกไม่ได้มาทำจริง และคนทำจริงไม่ได้ฝึก จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น

นายชูชาติ เปิดเผยว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติงานผู้สื่อข่าวสายทหาร จริงๆ แล้วความรวดเร็วในยุคนี้ ข่าวต้องเร็วและต้องแม่นยำ ซึ่งการทำงานของผู้สื่อข่าวสายทหารบางครั้งก็จะไปดูว่าเราแบ่งงานกันอย่างไร ซึ่งเมื่อมีข่าว ทุกคนช่วยกันหาข่าวจากแหล่งข่าวของตัวเองเพื่อสอบถามข้อมูล จากนั้นก็นำมาเขียนเป็นข่าวซึ่งทุกคนช่วยกันหมด ในภาวะวิกฤตอย่างนี้การทำข่าวต้องมีความแม่นยำและถูกต้องที่สุด เพราะการนำเสนอออกไปนั้นเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและเป็นเรื่องของประเทศชาติ ซึ่งตนมองว่า 5 วันที่ต่อสู้กันในสนาม ผู้สื่อข่าวนอนน้อย ทำงานกันตลอด การนำเสนอข่าวก็จะมีตลอด รวมถึงการประสานงานกับแม่ทัพภาคที่ 2 เพราะมีการประสานกันอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะจะมีข่าวใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันในวันนี้ ที่ช่องภูผี มีการยิงกันซึ่งก็ต้องมีการติดต่อคอนเฟิร์มจากแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าจริงหรือไม่ จึงก็ได้รับการยืนยันว่าจริง โดยทางเขมรมาก่อกวนยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนที่ไทยจะมีการตอบโต้จนเขมรล่าถอยไป ในการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องและแม่นยำนั้นใครที่มีแหล่งข่าวก็ต้องโทรเช็คในตอนนั้น รอไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของประเทศชาติ

ขณะที่ พล.อ.ท. บุญเลิศ กล่าวอีกว่า พอมีสถานการณ์เกิดขึ้น โดยทั่วไปข้อเท็จจริง ความรวดเร็ว ต้องยึดสิ่งนี้เอาไว้เป็นจรรยาบรรณ ถ้าทำสงครามข่าวสารจะยึดสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะมีการโจมตีในเรื่องของข่าวสาร กัมพูชาต้องการส่งข่าวสารให้ทุกคนที่มีอิมแพค เช่น อินฟลู ฯ ในการโพสต์ข่าวสารให้กับประชาชนที่ติดตาม จนทำให้ข่าวเท็จไปสู่นานาประเทศ ย้ำว่าถ้าผู้นำประเทศเข้าใจเหมือนกันสื่อจะทำงานง่าย การบริหารสื่อมวลชนในประเทศต่างๆ เรายังไม่ได้เรียนรู้

นายศุภฤกษ์ ระบุว่า ข้อมูลความจริงของกองทัพอากาศเป็นข้อมูลที่ตรงกับความจริง ไม่ว่าจะเป็นการนำไข่ไปฝากคนกัมพูชา ถือเป็นภาพที่ดีที่ทางกองทัพได้ดำเนินนโยบายที่เป็นเอกภาพและมีรูปธรรม ตนมองว่าประเทศชาติยังต้องมีกองทัพอยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่ารัฐบาลจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องมีกองทัพเป็นหลัก.-313.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

ชนกัน 10 คันรวดทางลอดอุโมงค์แยกดาราสมุทร จ.ภูเก็ต

ภูเก็ต 23 ก.ย.-รถพ่วง 18 ล้อบรรทุกเสาเข็มเบรกแตก พุ่งชนระเนระนาดในอุโมงค์ดาราสมุทร จ.ภูเก็ต รถเสียหาย 10 คัน บาดเจ็บ 4 คน คนไทย 3 คนและชาวมาเลเซีย 1 คน เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 23 กันยายน 2568 ศูนย์วิทยุพิทักษ์วิชิตได้รับแจ้งเหตุรถชนกันหลายคันภายในอุโมงค์ทางลอดแยกดาราสมุทร ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต มีรถได้รับความเสียหายจำนวนมากและมีผู้บาดเจ็บ พ.ต.อ.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง ผกก.สภ.วิชิต พร้อมด้วย พ.ต.ท.วุฒิวัฒน์ เลี้ยงบุญจินดา รอง ผกก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร รีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบการจราจรติดขัดอย่างหนัก รถไม่สามารถผ่านอุโมงค์ได้ทั้ง 2 เลน เบื้องต้นตรวจสอบพบรถชนกันเสียหายรวม 10 คัน มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย อาการแน่นหน้าอก เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตแล้ว ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลากว่า […]

ผลตรวจยืนยัน “น้องข้าวต้ม” ลูกช้างป่าพลัดหลง โครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด

สุพรรณบุรี 23 ก.ย. – ทีมสัตวแพทย์สรุปผลตรวจ “น้องข้าวต้ม” ลูกช้างป่าเพศเมียแรกเกิดที่พลัดหลงจากแม่ในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พบความผิดปกติทางโครงสร้างร่างกายตั้งแต่เกิด เร่งวางแผนการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากทีมสัตวแพทย์สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าซึ่งร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตรวจสุขภาพ “น้องข้าวต้ม” อย่างละเอียด โดยผลมีดังนี้ สัตวแพทย์สรุปว่า “น้องข้าวต้ม” มีภาวะโครงสร้างร่างกายผิดปกติตั้งแต่กำเนิดในลูกสัตว์ นอกจากนี้จากภาวะร่างกายที่อ่อนแอ จำเป็นต้องเอาตัวรอด รวมถึงความพยายามช่วยประคับประคองโดยฝูงทำให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้น เบื้องต้นทีมสัตวแพทย์ได้ฉีดยาลดปวดและลดอักเสบให้แล้ว พร้อมวางแผนรักษาตามอาการระยะยาว โดยเน้นการให้อาหารและเสริมโภชนาการควบคู่กับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ลูกช้างป่าสามารถยืนและเคลื่อนไหวได้ในอนาคต หากอาการไม่ฟื้นตัวดีเท่าที่คาด จะตรวจ X-ray และ Ultrasound ซ้ำอีกครั้ง ลำดับเหตุการณ์การช่วยเหลือลูกช้างป่าตัวนี้ • 21 ก.ย. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงูได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบลูกช้างเพศเมียนอนอยู่เพียงลำพังในสภาพอ่อนแรงและบาดเจ็บที่ขาหลัง จึงรีบประสานทีมสัตวแพทย์จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เข้าช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายมาดูแลที่ทำการอุทยานฯ โดยเบื้องต้นได้ป้อนน้ำข้าวต้มเพื่อให้พลังงาน […]

กต.ยันบังคับใช้กฎหมายไทยในดินแดนไทย จี้ “เขมร” หยุดปลุกระดม

ก.ต่างประเทศ 23 ก.ย.- กต.ยันบังคับใช้กฎหมายไทยในดินแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน และปฏิบัติตามหลักสากล ใช้ตํารวจควบคุมฝูงชน ไม่ใช่กําลังทหาร จี้ “เขมร” หยุดปลุกระดม-บิดเบือนประชาคมโลก ส่งผลสัมพันธ์ร้าวลึก นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงการบังคับใช้กฎหมายไทยต่อพลเมืองกัมพูชา ที่รุกล้ำเข้ามาประท้วงในบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยยืนยันว่า ไทยบังคับใช้กฎหมายภายในของไทยกับบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามบิดเบือน ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวของฝ่ายไทยเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักอธิปไตยของรัฐและเป็นไปตามหลักสากลที่ทุกประเทศยอมรับ สําหรับกรณีที่กัมพูชากล่าวหาว่าไทย จงใจบิดเบือนแผนผัง ที่แสดงลักษณะภูมิศาสตร์และตําแหน่ง หลักเขตแดนที่ 42 และ43 ว่าเป็นเขตแดนจริงนั้นขอเรียนยืนยันว่าฝ่ายไทยไม่เคยระบุ แผนผังดังกล่าวกําหนด เส้นเขตแดนเพราะการเจรจาเส้นเขตแดนอยู่ภายใต้อาณัติ ของกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือเจบีซี ทั้งนี้แผนผังที่ไทยนําแสดงดังกล่าว เป็นเพียงการนําพิกัดหลักเขตแดน ไปทําภาพจําลองเส้นเขตแดน บนแผนที่แบบไม่เป็นทางการเท่านั้นเพื่อความเข้าใจของประชาชนทั่วไป โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึง สําหรับข้อกล่าวหาที่กัมพูชาระบุว่าไทยละเมิดเอ็มโอยู 2543 ว่าด้วยการสํารวจและการจัดทําหลักเขตแดนทางบกนั้น กลับเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายละเมิดโดยปล่อยให้มีการสร้างอาคาร บ้านเรือนชุมชนทั้งในเขต พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์และในเขต ขณะที่เป็นอธิปไตยของไทยซึ่งฝ่ายไทยได้ทําการประท้วงในกรอบเอ็มโอยูแล้วกว่า 500 ครั้ง ในห้วง 20ปีที่ผ่านมาแต่ฝ่ายกัมพูชากลับเพิกเฉยและไม่ยอมแก้ไข ส่วนกรณีที่กัมพูชาเรียกร้องให้ไทยยุติกิจกรรม ที่บ่อนทําลายความพยายามลดความตึงเครียด ข้อตกลงหยุดยิงนั้น นายนิกรเดช กล่าวย้ำว่าประเทศไทยมุ่งมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง […]

นายกฯ ไม่ไปยูเอ็นแล้ว กลัวกลับมาไม่ทันแถลงนโยบาย

ภูมิใจไทย 23 ก.ย. – นายกฯ ไม่ไปยูเอ็นแล้ว เหตุเงื่อนเวลาไม่เอื้อ หวั่นกลับมาไม่ทันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ไม่เสียโอกาสแจงเรื่องอธิปไตย เชื่อชาวโลกรู้ไทยมีนโยบายชัดเจน ยันร่างนโยบายปกน้ำเงินเสร็จแล้ว นำเข้า ครม.นัดพิเศษ พรุ่งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำโลก UNGA ครั้งที่ 78 ว่า ได้มีการหารือกับฝ่ายคนใหม่แล้ว ซึ่งจากการดูเวลา กลัวจะไม่ทันการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ทั้งนี้ก็จะมีการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่สำคัญมีเรื่องของอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ด้วย ซึ่งจะต้องตรวจสอบให้ดี มีความคิดเห็นหลากหลาย ทั้งไปได้และไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้มีแนวทางที่ชัดเจน ไม่ได้มีการลงนามในข้อตกลง แต่แนวทางของประเทศไทย เมื่อรัฐบาลนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นที่เรียบร้อย ก็มีความชัดเจนที่จะบริหารสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างไร ส่วนจะเป็นการเสียโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่าความเชื่อมั่นอยู่ที่การจัดการและการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและกองทัพ ซึ่งความเชื่อมั่นอยู่ตรงจุดนี้ ไม่ใช่อยู่ที่เวทีไหน เพราะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ขณะที่ทุกฝ่ายในบ้านเรามีความพร้อม ประชาชนให้การสนับสนุนนโยบายต่างๆ นโยบายของกองทัพและรัฐบาล นี่ต่างหากคือความเชื่อมั่น ส่วนกรณีที่กฤษฎีกาชี้ว่า หากมีเหตุที่จำเป็น ก็ถือว่าดำเนินการได้ นายอนุทิน กล่าวว่า คำว่าจำเป็นคืออะไร อย่างสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็ไม่จำเป็นจะต้องชี้แจงกับใคร เพราะประชาคมโลกก็รับทราบสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว […]