วอชิงตัน 21 ก.ย. – เจ้าหน้าที่อาวุโสทำเนียบขาวของสหรัฐเปิดเผวันเสาร์ว่า ข้อตกลงระหว่างสหรัฐ-จีนเกี่ยวกับกิจการ ติ๊กต็อก ในสหรัฐนั้น จะให้สิทธิ์แก่ “ไบต์แดนซ์” (ByteDance) ซึ่งเป็นบริษัทแม่สัญชาติจีนของติกต็อกในโควตากรรมการจำนวนหนึ่งที่นั่งจากจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดที่นั่งในคณะกรรมการบริหารของบริษัทใหม่ ส่วนอีกหกที่นั่งที่เหลือจะเป็นชาวอเมริกันทั้งหมด
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามจะป้องกันไม่ให้แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นที่มีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ 170 ล้านคนถูกห้ามให้บริการในสหรัฐ หลังจากที่รัฐสภาสหรัฐผ่านกฎหมายในปี 2024 ที่สั่งให้ติ๊กต็อกปิดบริการภายในเดือนมกราคม 2025 หากเจ้าของอย่างไบต์แดนซ์ ไม่ขายกิจการในสหรัฐ
นายทรัมป์ได้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไปจนถึงช่วงกลางเดือนธันวาคม เพื่อเปิดทางให้มีการแยกสินทรัพย์ของ ติ๊กต็อกในสหรัฐ ออกจากแพลตฟอร์มระดับโลกนี้ หาผู้ลงทุนชาวอเมริกัน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเป็นเจ้าของใหม่นั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายปี 2024 กำหนดไว้
ความคืบหน้าของข้อตกลงที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการเจรจาที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพยายามจะคลี่คลายสงครามการค้าที่สร้างความกังวลให้กับตลาดโลก
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นายทรัมป์กล่าวว่าเขาและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน มีความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อตกลงติ๊กต็อกในการสนทนาทางโทรศัพท์ และจะพบปะกันแบบตัวต่อตัวในอีกหกสัปดาห์ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงจากฝั่งจีนยังไม่ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าความคืบหน้าดังกล่าวอยู่ในระดับใดแล้ว
รายละเอียดของข้อตกลงที่เจ้าหน้าที่อาวุโสทำเนียบขาวเปิดเผยนั้น ส่วนใหญ่สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์และสื่ออื่นๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กล่าวว่านายทรัมป์จะขยายเวลาการระงับการบังคับใช้กฎหมายปี 2024 ออกไปอีก 120 วัน ซึ่งหมายความว่ากำหนดเส้นตายถัดไปสำหรับการสรุปข้อตกลงการซื้อ-ขายกิจการติ๊กต็อกจะอยู่ในเดือนเมษายนปีหน้า
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข้อตกลงในสถานะปัจจุบันจะเข้าข่ายการขายกิจการทั้งหมดตามที่รัฐสภากำหนดไว้ในกฎหมายปี 2024 หรือไม่
นายทรัมป์เคยให้เครดิตกับติ๊กต็อกว่าช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว และมีผู้ติดตามในบัญชีส่วนตัวของเขาถึง 15 ล้านคน อีกทั้งทำเนียบขาวยังเปิดบัญชีติ๊กต็อกอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้วด้วย
ข้อตกลงที่เจ้าหน้าที่สหรัฐอธิบายไว้ จะกำหนดให้ข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกันทั้งหมดต้องถูกจัดเก็บไว้บนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์คอมพิวติ้งในสหรัฐ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติอเมริกันอย่าง “ออราเคิล” (Oracle).-813.-สำนักข่าวไทย