วอชิงตัน 20 ก.ย. – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ลงนามคำสั่งเก็บค่าวีซ่าทำงานเอช 1 บี (H1B) สำหรับคนทำงานทักษะสูง เป็นปีละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.18 ล้านบาท) เสี่ยงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาคเทคโนโลยีของสหรัฐที่ต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูงจากอินเดียและจีน
ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร 2 ฉบับเมื่อวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ฉบับแรกเป็นการกำหนดวีซ่าประเภทใหม่สำหรับผู้ที่ยินดีจ่ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31.83 ล้านบาท) เพื่อเข้าสหรัฐ เขาเรียกวีซ่าประเภทนี้ว่า “บัตรทองทรัมป์” และอ้างว่าจะนำเงินเข้าประเทศมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 3.18 ล้านล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลจะนำไปใช้ในการลดภาษีและชำระหนี้ เจ้าหน้าที่ที่ขอสงวนนามเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังจะออก “บัตรแพลตินัม” เพื่อใช้แทนวีซ่านักลงทุนในปัจจุบัน บัตรนี้จะมีมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 159 ล้านบาท) อนุญาตให้ชาวต่างชาติพำนักอยู่ในสหรัฐได้สูงสุด 270 วันโดยไม่ต้องเสียภาษีรายได้ที่เป็นรายได้นอกสหรัฐ
นายทรัมป์ยังได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่เป็นคำประกาศขึ้นค่าวีซ่าเอช 1 บีจากปีละ 215 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,844 บาท) เป็น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.18 ล้านบาท) มีผลตั้งแต่ 00.00 น. วันที่ 21 กันยายนตามเขตเวลาตะวันออก ตรงกับเวลา 11.00 น.วันเดียวกันตามเวลาไทย คำสั่งระบุว่า จำนวนชาวต่างชาติในสหรัฐที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วงปี 2543 ถึงปี 2562 เป็นเกือบ 2.5 ล้านคน แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการจ้างงานในด้านเหล่านี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.5 ก็ตาม

วีซ่าเอช 1 บีจะออกให้สำหรับคนทำงานที่ได้รับการยืนยันข้อเสนอทำงานจากนายจ้างอเมริกัน โดยต้องสำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยหรือเทียบเท่าในอาชีพพิเศษที่ระบุไว้เท่านั้น นายฮาวเวิร์ด ลัตนิค รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐกล่าวแสดงความหวังว่า การขึ้นค่าวีซ่าจะลดแรงจูงใจของบริษัทเทคโนโลยีที่มักจะจ้างงานคนต่างชาติมากกว่าชาวอเมริกัน เขาคาดว่า มาตรการนี้จะทำให้การออกวีซ่าทำงานประเภทนี้ลดลงอย่างมากจากที่กำหนดเพดานไว้ไม่เกินปีละ 85,000 วีซ่า เนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจอีกแล้ว ทั้งนี้นายจ้างต้องเป็นผู้จ่ายค่าวีซ่าเกือบทั้งหมดให้แก่คนทำงาน วีซ่าประเภทนี้มีอายุ 3-6 ปี
กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยชี้ว่า วีซ่าเอช 1 บีเปิดช่องให้บริษัทกดค่าจ้างและไม่จ้างงานชาวอเมริกันที่สามารถทำงานได้ ส่วนกลุ่มผู้เห็นด้วยซึ่งรวมถึงเทสลา บริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่และนายอีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลามองว่า วีซ่าประเภทนี้ช่วยให้สหรัฐมีคนทำงานทักษะสูงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างด้านความสามารถ และช่วยให้บริษัทอเมริกันสามารถแข่งขันต่อไปได้ นายมัสก์ซึ่งเกิดในแอฟริกาใต้ ได้สัญชาติอเมริกันและถือวีซ่าประเภทนี้เช่นกัน
ข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐระบุว่า ชาวอินเดียครองสัดส่วนมากถึงร้อยละ 71 ของผู้ได้รับวีซ่าเอช 1 บีเมื่อปี 2567 ทิ้งห่างอันดับสองอย่างชาวจีนที่ครองสัดส่วนร้อยละ 11.7 ขณะที่แอมะซอนเป็นบริษัทที่มีคนทำงานได้รับวีซ่าประเภทนี้มากที่สุดมากกว่า 10,000 คนในปี 2568 ตามด้วยทาทา คอนซัลแทนซี, ไมโครซอฟท์, แอปเปิล และกูเกิล.-814.-สำนักข่าวไทย