ทำเนียบรัฐบาล 23 ธ.ค.-นายกฯ ประกาศชัดร่วมงานรวมไทยสร้างชาติ พร้อมเป็นแคนดิเดตนายกฯ ยันสัมพันธ์พี่น้องทหาร “พล.อ.ประวิตร” ตัดไม่ขาด อนาคตจับมือร่วมกันหรือไม่ ให้รอผลเลือกตั้ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติของกระทรวงวัฒนธรรม โดยนายกรัฐมนตรีเดินลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อไปตึกสันติไมตรี สถานที่จัดงาน แต่ระหว่างทางเชื่อม ซึ่งมีผู้สื่อข่าวยืนรออยู่ตามปกติ นายกรัฐมนตรีหันมาทักทายสื่อมวลชน พร้อมถามว่า “อยากถามอะไรนายกฯ ถึงมากันเยอะ จะมาดูงานวันนี้ใช่หรือไม่ แล้วออกข่าวให้หรือไม่ อะไรที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมก็ช่วยออกให้ด้วย” ก่อนระบุว่า วันนี้หลายพรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรค ที่ผ่านมา ตนพิจารณาด้วยหลักการและเหตุผล
“วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอมาแล้วว่าจะสนับสนุนผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผมจึงจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจน เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์หลายอย่าง ทำให้เกิดความเสียหาย ที่ผ่านมาผมได้รับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐ แต่ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐได้เสนอชื่อหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็เลยตัดสินใจ ซึ่งจริง ๆ ก็ได้ตัดสินใจมาระยะหนึ่งแล้วว่าจะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็แล้วแต่ประชาชนจะให้การสนับสนุน การที่ผมตัดสินใจแบบนี้ เพราะอยากสานต่องานที่ยังไม่สำเร็จหลายอย่างที่เคยทำมาหลายปี หากว่าผมอยู่ได้ในระยะเวลาที่กำหนด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนดูแลทุกพื้นที่ ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นของใคร หลายจังหวัดที่ไปก็ไม่มีส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐและพรรครัฐบาล เช่นเดียวกับที่ไปจังหวัดเชียงรายล่าสุดก็ไม่มีส.ส.รัฐบาล แต่ตนก็ยังไป เพราะมองประชาชนเป็นหลัก อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็เสนอเข้าครม. จัดสรรงบประมาณให้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใสตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนยึดมั่นมาโดยตลอด ไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ แม้แต่เล็กน้อย
“ผมได้กราบเรียนพล.อ.ประวิตรไปแล้วว่าอาจจะมีความจำเป็น กราบเรียนท่านไปหลายครั้งแล้ ว จนครั้งสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไปแล้วและคุยกับท่านแล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีความขัดแย้งอะไรทั้งสิ้น การเมืองก็ว่ากันไปตามการเมือง ตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ได้จากกันไปไหน ยังพูดคุยกันเหมือนเดิม อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ของทหารกับทหารด้วยกันมันลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมจบมาในการดูแลของท่าน ท่านเป็นพี่ชายของผม หลังจากที่ผมจบจากโรงเรียนนายร้อย รับราชการตั้งแต่ร้อยตรี จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิต รับราชการจนถึงวันนี้ ความผูกพันธ์นี้ ไม่มีใครลบล้างได้ ท่านเองก็รู้สึกเหมือนกัน ท่านไม่ได้ว่าอะไรผม ผมก็บอกท่านจะได้สบายใจเพราะมีแรงกดดันหลายประการ” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนจะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็คงต้องสมัคร ส่วนเรื่องเวลาต้องรอดูอีกครั้ง ส่วนจะเป็นแคนดิเดตนายกคนเดียวของพรรคเลยหรือไม่นั้น เท่าที่ทราบมีเพียงคนเดียว
เมื่อถามย้ำว่าจะยังจับมือกับพล.อ.ประวิตรในทางการเมืองหรือไม่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง ประชาชนจะเลือกใครก็ยังไม่รู้ ถึงเวลานั้นภาษาการเมืองเรียกว่าการจับคู่ทางการเมือง ใครจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็เหมือนครั้งที่แล้ว ที่มีพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้าน ถ้าคะแนนเสียงรวมกันได้มากกว่าก็เป็นรัฐบาล คราวที่แล้วตนก็มาแบบนั้น
เมื่อถามว่าการประกาศในวันนี้ถือเป็นการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าชัดเจนเลยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ยังไม่ชัดอีกหรือ”
ส่วนครอบครัวสนับสนุนเต็มที่หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็เข้าใจกันว่า ตนทำเพื่ออะไร
เมื่อถามว่า การมาทำพรรคการเมืองถือเป็นความท้าทายหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เขามีหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องคุยกันว่าอะไรที่รัฐบาลนี้ทำไว้ต้องสานต่อไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน มั่นคง ไม่ใช่เป็นนโยบายที่จับต้องไม่ได้ ถ้าประกาศว่าจะทำโน่นทำนี่ จะทำได้จริงหรือไม่ ถ้าจะให้โน่นให้นี่ จะเอาเงินจากที่ไหน ตนพยายามทำมาตลอด ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้ง 4 ปีแรกและ 4 ปีหลัง พยายามหารายได้เข้าประเทศ เราต้องดูแลประชาชนแต่ต้องมีกติกาพอสมควร
“ส่วนจะจับมือกับพรรคใด ต้องรอผลการเลือกตั้งก่อน เหมือนการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังจากนี้ก็ต้องมาพูดคุยกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่า สิ่งไหนที่รัฐบาลทำไว้ก็ต้องมาสานต่อ การประกาศนโยบายต้องดูเรื่องของงบประมาณ ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ไขปัญหาต่าง ๆ มากมายทั้งสถานการณ์โควิด ยืนยันต้องการทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยให้ดีที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะทำคนเดียวไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งทุกคนต้องมีหลักคิดว่าจะเลือกใครเข้ามาบริหารประเทศ และเมื่อเลือกตั้งมาแล้วก็ต้องมารวมคะแนนเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ใครได้คะแนนเสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาล และจะถูกเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ในอนาคตไม่มีอะไรที่แน่นอน อยู่ที่ประชาชน ซึ่งถือว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้เป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญที่สุด จึงขอให้ประชาชนคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ มีเหตุมีผล มีหลักคิดในการเลือกพรรคการเมือง ดูนโยบายหาเสียงที่จะต้องไม่เกินงบประมาณของประเทศชาติ จนทำให้ประเทศชาติเสียหาย จึงขอให้ประชาชนคิดให้ดี ซึ่งตนเองใช้หลักการบริหาร เฉลี่ยดูแลประชาชนทุกกลุ่มมาโดยตลอด
“จำเป็นต้องพูดวันนี้ เนื่องจากเกรงว่า ถ้าไม่พูด จะวิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อย ผมจึงตัดสินใจแล้ว ขอบคุณพรรคพลังประชารัฐที่ให้การสนับสนุนผมเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา ยืนยันว่าไม่ใช่ศัตรูกัน ที่ผ่านมารักษามารยาทกับทุกพรรค รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ แต่เมื่อเปิดตัวแล้วก็ จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน จะได้ไม่เกิดความสับสนและเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง แต่ขออย่างเดียวว่าจะต้องสงบวันนี้ เลือกตั้งได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ครบเทอมหรือยุบสภานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ดูจังหวะเวลา แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามกฏหมาย การย้ายพรรคจะต้องไม่มีปัญหา ซึ่งจะต้องหารือกับฝ่ายการเมืองและพรรคร่วมรัฐบาลด้วย งานหลักของตนคือการดูแลชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประชาชนไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ก็จะทำหน้าที่ตรงนี้ ที่ผ่านมาย้ำมาตลอดว่าการมายืนอยู่ตรงนี้ มาจากสาเหตุอะไร
“มีการออกมาพูดจาเสียหายตำหนิหลายอย่าง จนลืมไปว่าที่ผ่านมาทำความเสียหายอะไรไปบ้าง ทุกวันนี้ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ดีขึ้นแต่ยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งการแก้ปัญหาจะต้องสร้างความเข้าใจ แต่สิ่งสำคัญในตอนนี้มากกว่าการเลือกตั้ง คือการทำให้ประชาชนเกิดความรักความสามัคคี ซึ่งผมให้ความสำคัญเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานศึกษา การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและการบูลลี่ในสถานศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อันตราย โดยเฉพาะครูที่จะต้องทำให้ผ้าขาวเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์ ขอร้องให้หยุด รัฐบาลใช้กฎหมายดูแลมาตลอด เมื่อเกิดการลงโทษตามกระบวนการกฎหมาย ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวและเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย