อยุธยา 8 ก.พ. – รองนายกรัฐมนตรีเศรษฐกิจมอบนโยบายรัฐวิสาหกิจเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุน หวังช่วยขับเคลื่อนการลงทุนในภาพรวมของประเทศ ขณะที่คลังคาดเปิดขายกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ พ.ค.-มิ.ย.
ในการสัมมนารวมพลังวิสาหกิจให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งนายสมคิดมอบนโยบายให้ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ ในเรื่องของการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย จัดทำแผนรัฐวิสาหกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยให้นำกรอบยุทธศาตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ไทยแลนด์ 4.0 มาจัดทำแผนรัฐวิสาหกิจ สนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการรัฐ
ทั้งนี้ คาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวดีกว่าปี 2559 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2 และมากกว่าปี 2558 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 โดยตัวขับเคลื่อนหลักที่สำคัญของเศรษฐกิจปีนี้ คือ การลงทุนของรัฐวิสาหกิจในโครงการต่าง ๆ และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยประเทศไทยผ่านจุดที่ไม่ดีมาแล้ว โมเมนตัมค่อนข้างดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่ออกมาค่อนข้างดี และล่าสุดได้รายงานนายกรัฐมนตรีว่าจากดัชนีของปูนซีเมนต์ไทยที่ถือเป็นตัวที่น่าเชื่อถือและสะท้อนดีที่สุด คือ การเติบโตของวัสดุก่อสร้างที่เติบโตและคาดว่าจะเป็นบวกในรอบ 3 ปี เพราะเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจขยับตัว ด้านวัสดุก่อสร้างจะขยับตามทันที ขณะที่รายได้เกษตรกรเริ่มดีขึ้น จากราคาสินค้าเกษตร รายได้คนชั้นกลางเพิ่มขึ้น โครงการภาครัฐที่กำลังจะออก
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะสามารถพลิกกลับมาได้และเห็นโอกาสในช่วงที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีและมีความไม่แน่นอนสูง เพราะถือเป็นโอกาสของภูมิภาคเอเชียที่จะต้องเร่งรวมตัวกันให้เหนียวแน่น อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องเชื่อมโยงกับกลุ่ม CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เพื่อผนึกกำลังและสร้างจุดเด่น สำหรับประเทศไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยว โดยได้สั่งการให้การบินไทย หากอยากเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวจะต้องสร้างจุดเชื่อมโยงจังหวัดในเรื่องของการคมนาคม ปัจจุบันมีสายการบินทั้งนกแอร์และไทยสมาย์ จะเชื่อมโยงสายการบินอย่างไร เพื่อเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงและไม่อยากให้มองสายการบินเอกชนเป็นคู่แข่ง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังร่วมสัมมนาผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ หรือ SOE CEO Forum ว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์วงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนปิดไม่จำกัดอายุกองทุน โดยเสนอขายนักลงทุนสถาบัน ทั้งภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ รวมถึงประชาชนทั่วไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดขายกองทุนเป็นครั้งแรกช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2560 ซึ่งจะระดมทุนก้อนแรกประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เบื้องต้นโครงการที่จะนำมาแปลงเป็นหน่วยลงทุน คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาเส้นทางที่จะนำเข้ามาแปลงเป็นหน่วยลงทุน ส่วนบริษัทอื่น ๆ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถนำโรงไฟฟ้าหรือสายส่งมาเข้ากองทุนได้เช่นเดียวกัน เพื่อระดมเงินไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ เป็นต้น
“เบื้องต้นจะมีโครงการของ กทพ. เข้ากองทุนฯ ก่อน ซึ่งจะระดมทุนประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปก่อนและคนที่มาจองจะต้องได้ทั้งหมดทุกคน ส่วนผลตอบแทนยังไม่ได้ระบุว่าจะต้องได้เท่าไหร่ แต่ที่คุยกันก่อนหน้านี้ คือ ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 7-8 ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์อยู่ในระดับต่ำ และกองทุนฯ นี้ค่อนข้างปลอดภัย” นายอภิศักดิ์ กล่าว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ช่วงบ่ายวันนี้ กทพ.จะพิจารณาเลือกเส้นทาง เบื้องต้น 3 เส้นทาง ประกอบด้วย 1.เอกมัย-รามอินทรา 2.ทางพิเศษบูรพาวิถี 3.ดาวคะนอง ต่อวงแหวนรอบนอก ซึ่งเมื่อดูการจราจรแล้วพบว่าอัตราผลตอบแทนค่อนข้างดี
สำหรับหลักการนั้น ยกตัวอย่างเช่น ใน 1 ปี กทพ.มีรายได้จากโครงการดังกล่าว 100 ล้านบาท จะเลือก ร้อยละ 40-60 มาขายให้กับนักลงทุน เช่น 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 40 วงเงินประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท เพื่อเอาเงินที่ได้จากการขายให้ กทพ.ไปลงทุนต่อ ซึ่งการขายจะใช้หลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
“เมื่อประชุมและคัดเลือกเส้นทางได้แล้วจะส่งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาก่อนส่งให้คณะกรรมการขับเคลื่อนที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และเสนอให้ ครม.อนุมัติ ก่อนยื่นไฟลิ่งกับ ก.ล.ต. คาดว่าจะประมาณเดือนมีนาคม 2560 ตามแผนเดิม และเสนอขายเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2560 ส่วนผลตอบแทนประเมินจากการเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งเห็นจากโครงการอยู่ที่ร้อยละ 7-8 ถือเป็นระดับที่สูง เนื่องจากมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก การระดมเงินที่ได้ก็จะให้กับ กทพ.ทั้งหมด เพื่อนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อ” นายเอกนิติ กล่าว
ส่วนเงินระดมทุนที่ได้ของ กทพ.นั้น คาดว่าจะนำไปสร้างโครงการอื่น ๆ ต่อ โดยคาดว่าจะให้ ครม.อนุมัติเร็ว ๆ นี้ คือ เส้นทางพระราม 3-ดาวคะนอง และเส้นทางเกษตรนวมินทร์.-สำนักข่าวไทย