กรุงเทพ 6 ก.ย.- “นักวิชาการธรรมศาสตร์” จี้ รัฐ-กระทรวงสาธารณสุข เร่งรณรงค์ให้ความรู้ “โรคไข้ดิน” เหตุพบมากในฤดูฝน โดยเฉพาะภาคอีสาน ชี้เป็นโรคซับซ้อน-วินิจฉัยยาก ปี 2568 ดับแล้ว 72 ราย
ดร.อาภาลักษณ์ ปาติยเสวี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เจ้าของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง “โรคที่ลึกลับซับซ้อน: การทำให้โรคเมลิออยโดสิสเป็นที่รู้จักในประเทศไทย” เปิดเผยว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ประกอบอาชีพทำการเกษตร นาข้าว หรือต้องสัมผัสกับแหล่งน้ำขังบ่อยครั้ง มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเมลิออยโดสิส หรือโรคไข้ดิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่มีความสลับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวและเข้าถึงการรักษาเมื่อมีอาการรุนแรงแล้ว จึงทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคไข้ดินในปัจจุบันอยู่ที่มากกว่าร้อยละ 30
ดร.อาภาลักษณ์ กล่าวว่า โรคไข้ดินเกิดจากแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei พบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเขตร้อนชื้น โดยปกติแล้วแบคทีเรียชนิดนี้จะอยู่ในดินและน้ำ และสามารถอยู่ใต้ผิวดินได้ดีกว่าแบคทีเรียอื่นๆ แต่ในช่วงฤดูฝน น้ำฝนมักจะพัดพาแบคทีเรียที่อยู่บนดินออกไป จนทำให้แบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินแทน จึงทำให้คนมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อในรูปแบบต่างๆ อาทิ การสัมผัสทางผิวหนัง การดื่ม ไปจนถึงการสูดละอองฝุ่นที่มีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
สำหรับโรคไข้ดินเป็นโรคที่ได้รับฉายาว่าโรคขี้เลียนแบบ กล่าวคือมีความคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ หรืออาจเรียกได้ว่าสามารถปลอมตัวเป็นโรคอื่นได้อย่างแนบเนียน อาทิ วัณโรค โรคปอด ที่ผ่านมาจึงวินิจฉัยได้ยากมาก ผู้ป่วยจะมีอาการตั้งแต่ไข้ธรรมดาไปจนมีไข้สูง ไอ ปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว หายใจเหนื่อยหอบ มีฝีที่ผิวหนัง ปอด ตับ หรือม้าม ฯลฯ หากผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง หรือปอดบวมร่วมด้วย ก็จะยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้น สามารถลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด และส่งผลถึงขั้นเสียชีวิต
“ปัญหาหนึ่งในการตรวจวินิจฉัยคือต้องเพาะเชื้อในห้องในห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เชื้อนี้เจริญเติบโตช้า และมักถูกบดบังด้วยเชื้อชนิดอื่น ทำให้การเพาะเชื้อและการวินิจฉัยโรคซับซ้อนและยากยิ่งขึ้น อาการของไข้ดินคล้ายไข้หวัดทั่วไป มีไข้สูง ปอดอักเสบ ผู้ป่วยจำนวนมากมักได้รับการตรวจโรคเมื่อมีอาการรุนแรง และคนไข้อาจถึงขั้นเสียชีวิตทั้งๆ ที่โรคนี้รักษาหายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ” ดร.อาภาลักษณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรคไข้ดินสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะแบบผสม แต่ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการให้ยา ที่ผ่านมาผู้ป่วยต้องผ่านการวินิจฉัยและยืนยันเชื้อด้วยกระบวนการเพาะเชื้อในห้องแล็บ โดยเฉลี่ยใช้เวลากว่า 2 วัน ทว่าปัจจุบันมีการศึกษาและพัฒนาชุดตรวจ Hcp1-ICT สำหรับตรวจหาโรคเมลิออยโดสิสอย่างรวดเร็วใน 15 นาที แต่ชุดตรวจดังกล่าวก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้เชี่ยวชาญทางแล็บ และมีความเห็นทางการแพทย์ว่าไม่อาจนำชุดตรวจดังกล่าวไปใช้ในพื้นที่ที่พบโรคบ่อยได้ เนื่องจากคนท้องถิ่นในพื้นที่อาจมี antibody หรือสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย เช่น เชื้อโรคโดยที่อาจไม่ได้ป่วยด้วยโรคนี้
“แม้จะมียารักษาให้หายได้ แต่ทุกวันนี้ประชาชนยังไม่ค่อยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้ดิน เมื่อมีอาการป่วยมักเข้าโรงพยาบาลล่าช้า เนื่องจากต้องใช้เวลาในการวินิจฉัยซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อชีวิต ที่สำคัญคือในพื้นที่ที่พบการระบาดโดยเฉพาะภาคอีสานก็แทบไม่มีการพูดถึงโรคนี้เลย แม้แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขหลายคนที่ทำงานในพื้นที่ที่มีการระบาดก็ยังไม่รู้จักโรคนี้ แพทย์ที่วินิจฉัยโรคไข้ดินมักบอกผู้ป่วยว่าติดเชื้อจากการทำนา ซึ่งทำให้ผู้ป่วยและญาติสับสนเพราะเข้าทำนาเป็นประจําแต่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโรคนี้เลย ฉะนั้นรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่ที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า จากงานวิจัยของทีมแพทย์ที่หน่วยวิจัยโรคเขตร้อนมหิดล-อ๊อกซ์ฟอร์ด (Mahidol Oxford Tropical Medicine Research Unit : MORU) ที่ตีพิมพ์ในปี 2559 คาดการณ์ว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคไข้ดินทั่วโลกราว 1.65 แสนราย ในจำนวนนี้ผู้เสียชีวิตมากถึง 8.9 หมื่นราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการรายงานอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีผู้ป่วยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้ดิน และทั่วโลก ก็ยังไม่มีการรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้ดินอย่างเป็นระบบ
“ที่สำคัญคือแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย หากผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการต่างๆ แล้วแพทย์ไม่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาการเหล่านั้นมีโอกาสเป็นโรคไข้ดิน แพทย์ก็จะไม่สั่งตรวจหาเชื้อไข้ดิน ฉะนั้นสิ่งที่อยากเสนอคือการสร้างความตระหนักต่อโรคนี้ เช่นเดียวกับโรคฉี่หนูหรือไข้เลือดออก” ดร.อาภาลักษณ์ กล่าว
อนึ่ง กรมควบคุมโรค (คร.) ได้รายงานสถานการณ์โรคเมลิออยโดลิส โดยมีข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรคดิจิทัล (Digital Disease Surveillance: DDS) กองระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 9 ก.ค. 2568 พบว่ามีผู้ป่วย 1,676 ราย ผู้เสียชีวิต 72 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูง 3 อันดับแรก คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป 693 ราย รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 50 – 59 ปี 449 ราย และกลุ่มอายุ 40 – 49 ปี 247 ราย ตามลำดับ พื้นที่ที่พบผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดห้าอันดับแรกคือ มุกดาหาร ยโสธร บึงกาฬ นครพนม และบุรีรัมย์ ตามลำดับ-511สำนักข่าวไทย