29 ก.ย.- “อ.ปณิธาน” วิเคราะห์ถ้อยแถลงเวที UNGA “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ทั้งเก๋า ทั้งโชคช่วย
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและต่างประเทศ วิเคราะห์คำกล่าวสุนทรพจน์ของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บนเวทีประชุมสมัชชาสหประชาชาติ หรือ UNGA ทั้งหมด 8 หน้า 63 ข้อ กับทีมข่าวกองบรรณาธิการข่าววิทยุ ว่า สุนทรพจน์นี้ถือว่าไทยได้ “เริ่มดำเนินการเชิงรุกแล้ว” เพื่อสกัดไม่ให้กัมพูชาใช้เวทีนานาชาติบิดเบือนข้อเท็จจริงฝ่ายเดียว ดำเนินการโต้ตอบ อย่างทันถ่วงที และมีความครอบคลุมมากกว่าฝ่ายกัมพูชา จนได้รับการชื่นชมทั้งจากคนไทย และในเวทีสหประชาชาติ ที่มีเสียงปรบมืออยู่หลายครั้ง
ถ้อยแถลงครั้งนี้ ไทยยังคงความเป็นสุภาพบุรษ แม้แต่น้ำเสียงก็สุภาพบุรุษ เป็นเพราะ “ความสามารถส่วนตัวของรัฐมนตรี” คนนี้ ที่มีประสบการณ์ในเวทีระดับนานาชาติ เคยทำงานให้ฝ่ายการเมืองมาแล้ว เคยร่างสุนทรพจน์ล่าสุดให้อดีตนายกรัฐมนตรี และอาจจะเพราะ “โชคช่วย” หรือเพราะ “การแทรกแซงของหรัฐ”
ซึ่งก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ สหรัฐฯได้นัดประชุมร่วมกัน 4 ฝ่าย ได้แก่ สหรัฐฯ มาเลเซีย ไทย และกัมพูชา ในการพูดคุยกันบรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี แต่เมื่อกัมพูชาขึ้นเวที UNGA กลับกล่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง นี่คือสิ่งที่ทำให้สหรัฐฯและนานาชาติ เห็นได้ชัดว่า
กัมพูชา “หน้าอย่างหลังอย่าง” หากไทยสามารถดำเนินการเชิงรุกได้ต่อเนื่องและมีความเข้มข้น ทั้งในที่ประชุมอาเซียน และเอเปค เป็นไปได้ที่จะทำให้กัมพูชาไม่มีพื้นที่จนต้องยอมกลับมาคุยกับไทย และเป็นไปได้ที่สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก คาดการณ์ว่าความตึงเครียด การวางกำลังพล และการวางอาวุธอาจจะชะลอไปจนถึงเดือนหน้า จนกว่าจะพ้นการประชุมอาเซียน แต่ก็ยังไว้ใจกัมพูชาไม่ได้ ไทยต้องคงความเข้มแข็งไว้ และนี่เป็นเพียงยกแรกของการสกัดกัมพูชา หากกัมอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนใจ กลับมารุกหนัก ก็ต้องเปลี่ยนวิธีให้เข้มข้นกว่านี้อีก
ส่วนคำกล่าวถึงประวัติศาสตร์ไทย ที่ให้การช่วยเหลือกัมพูชาด้านมนุษยธรรม ข้อเท็จจริงนี้ นานาชาติรู้และเข้าใจดีอยู่แล้ว เนื่องจากปัจจุบันไทยยังรับภาระหนัก ในการช่วยเหลือเพื่อนบ้านตามหลักมนุษยธรรมมากกว่าหลายประเทศ แต่ยอมรับว่าความขัดแย้งในกัมพูชาก็ทำให้หลายประเทศกังวลว่า อนาคตไทยจะปิดรับผู้อพยพหรือไม่ ส่วนประเด็นที่ละเอียดอ่อนคือ การบังคับใช้กฎหมายกับคนกัมพูชา ที่ต้องตอกย้ำให้ชัดเจนว่านี่คือพื้นที่ของไทย และต้องยอมรับว่าบางประเทศอาจมองว่าเราเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า อาจรังแกประเทศเล็กจึงทำให้ยังมีการช่วยเหลือกัมพูชาอยู่
สำหรับประเด็นการทำประชาชนมติเรื่อง MOU 43-44 นั้น ซึ่งมีทั้งข้อดี และข้อเสีย มองว่า หากมีการทำประชาชนมติ และยกเลิก MOU 43-44 ผลดีคือเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ไม่ต้องติดกับดักในอดีตที่ซับซ้อน แต่ต้องไม่ให้เกิดสูญญากาศ สิ่งที่เคยตกลงกันแล้วต้องตกลงให้ดีว่า จะยังคงอยู่ หรือจะยกเลิก ซึ่งต้องสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจน ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะลดระดับลงมาก คณะกรรมการต่างๆที่จะทำงานร่วมกันก็จะน้อยลง หรืออาจสื่อสารกับประชาชนถึงทางเลือกอื่นควบคู่กันได้ ซึ่งอีกทางเลือกอาจใช้วิธี “ขอระงับใช้ชั่วคราว” แล้วทดลองดูว่าเมื่อระงับชั่วคราวแล้ว ผลเสียหายจะเป็นอย่างไร -สำนักข่าวไทย