รัฐสภา 1 ก.ค.-นายกฯ ชี้แจง ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 64 ยืนยันใช้จ่ายงบฯ ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างรายได้ในประเทศ สอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ย้ำสถานะการเงินไทยแข็งแกร่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ขณะนี้พบว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะปรับตัวลดลงติดลบร้อยละ 5-6 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามทางการค้าและผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการดำเนินมาตรการควบคุมและจำกัดการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจโลก ปริมาณการค้าโลก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้แรงขับเคลื่อนทั้งจากอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศปรับตัวลดลง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลดลงของระดับความรุนแรงของการระบาดภายในประเทศ คาดว่าจะทำให้ภาครัฐสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่าง ๆ ได้ถึงระดับใกล้เคียงภาวะปกติภายในไตรมาสที่ 2 และการลดลงของความรุนแรงของการระบาดในต่างประเทศ จะทำให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ สามารถผ่อนคลายมาตรการ จนถึงระดับใกล้เคียงกับภาวะปกติได้ภายในไตรมาสที่ 3 ในขณะที่มาตรการควบคุมด้านการท่องเที่ยวคาดว่าจะมีการผ่อนคลายภายในไตรมาสที่ 4 ซึ่งภายใต้แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีปรับตัวลดลงในอัตราที่ช้าลง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกและการเริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการท่องเที่ยว แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ และปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้าและการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจภายในปี 2564 จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 4.0 -5.0 ของจีดีพีในประเทศ เมื่อเทียบกับปี 2563 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคไวรัสโควิด-19 มีความยืดเยื้อและมาตรการควบคุมของประเทศต่าง ๆ ขยายเวลาออกไป หรือปัญหาในภาคการผลิตลุกลามไปสู่วิกฤตทางการเงินการคลังในต่างประเทศ รวมทั้งในกรณีที่มีมาตรการกีดกั้นทางการค้า มีความรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกันมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ กรณีที่การระบาดโควิด-19 สามารถยุติได้ภายในไตรมาศแรกของปี 2564
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการประมาณสถานการณ์ รัฐบาลจะบริหารการเงินการคลังให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และยืนยันว่า สถานการณ์การเงินของไทย อยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่ง โดยการจัดทำงบประมาณมีเป้าหมาย เพื่อให้การพัฒนาประเทศก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ควบคู่ไปกับส่งเสริมการสร้างรายได้ของประชาชน เพื่อกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับงบประมาณ ปี 2564 วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ 267,700 ล้านบาทและเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 623,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3.3 ล้านล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย ทั้งนี้สถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวนประมาณ กว่า 7 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41.7 ของจีดีพี ซึ่งอยู่ในกรอบบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมาย ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 ส่วนสถานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 30 เมษายน 2563 มีจำนวน กว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 3.8 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
นายกรัฐมนตรี ยังชี้แจงวงเงินงบฯ รายจ่ายประจำปี 2564 ว่า เป็นการดำเนินนโยบายแบบขาดดุล โดยกำหนดรายได้สุทธิ จำนวน 2,677,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก จำนวน 623,000 ล้านบาท วงเงินงบประมาณดังกล่าวจำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,526,131.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 76.5 ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายลงทุน จำนวน 674,868.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.5 ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 99,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.0 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งอยู่ภายในกรอบวินัยการเงินการคลัง ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย ด้านความมั่นคง ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรของสิ่งแวดล้อม ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ.-สำนักข่าวไทย