ศบค. เผยผู้ป่วยใหม่ 15 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย

ทำเนียบฯ 22 เม.ย.-ศบค. เผยผู้ป่วยใหม่ 15 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ชื่นชมแม้ตัวเลขลดลง แต่ยังวางใจไม่ได้ กังวลหากผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ อาจทำให้ผู้ป่วยกลับมาสูงขึ้น และสูญเสียทุกอย่างที่เสียสละร่วมกันทำมาอย่างดี 


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ว่า วันนี้ (22 เม.ย.)ไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 15 ราย รวมผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 2,826 ราย รักษาหาย 2,352 ราย รักษาตัวอยู่ 425 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ทำให้มีผู้เสียชีวิต รวม 49 ราย โดย ผู้เสียชีวิตรายล่าสุดเป็น หญิงไทย อายุ 58 ปี อาชีพแม่บ้าน มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วน มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับลูกสาว ซึ่งเป็นผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไอ ไข้ มีเสมหะ มีน้ำมูก เมื่อ 20 มีนาคม และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อ 22 มีนาคม จากนั้น 28 มีนาคม ตรวจยืนยันพบเชื้อโควิด-19 ขณะรักษาตัวมีอาการทรุดลง เหนื่อยหอบ ถ่ายเหลว อาการไม่ดีขึ้น เสียชีวิตในเวลาต่อมา 

โฆษก ศบค. กล่าวว่า ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ที่ลดลง ถือเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง เป็นความสำเร็จเล็ก ๆ ระหว่างทาง แต่ก็ยังไม่จบสิ้น เพราะการเผชิญกับไวรัสนี้ถือเป็นวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ แต่ภารกิจนี้อาจจะทอดยาวอาจจะเป็นเดือนหรือเป็นปี  ซึ่งผู้ป่วยในกรุงเทพมหานคร นนทบุรีและในต่างจังหวัด มีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกันของทุกคนใน 7-14 วันที่ผ่านมา และผลของการทำในวันนี้จะเห็นใน 7- 4 วันข้างหน้า ดังนั้นวันนี้เบาใจขึ้นมาได้แต่ยังวางใจไม่ได้ ขอการ์ดอย่าตก


น.พ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ทั้งนี้จากจำนวนตัวเลขผู้ป่วยใหม่ 15 ราย พบว่ามาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 10 ราย  คนไทยกลับจากต่างประเทศ 1 ราย ไปสถานที่ชุมนุมชน 1 ราย อาชีพเสี่ยง ได้แก่ พนักงานขาย /ขนส่งสินค้า /ทำงานกับนักท่องเที่ยว 3 ราย ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ 

ส่วนผู้ป่วยสะสม 2,826 ราย พบใน 5 จังหวัดที่สูงที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 1,451 ราย และมีอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 2 ราย ภูเก็ต 193 ราย นนทบุรี 152 ราย สมุทรปราการ 109 ราย ยะลา 95 ราย และอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 8 ราย และเมื่อจำแนกอัตราป่วยต่อประชากรหนึ่งแสนคน โดยไม่รวมผู้ป่วยที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ พบว่า จังหวัดภูเก็ต มีผู้ป่วยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.69 กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 25.58 ยะลา ร้อยละ 17.78 ปัตตานี ร้อยละ 10.95 และนนทบุรี ร้อยละ 12.10

ทั้งนี้มี 10 จังหวัด ที่ยังไม่มีรายงานการรักษาผู้ป่วย ได้แก่ กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี อ่างทองและสตูล


และมี 36 จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ได้แก่ เชียงราย เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี จันทบุรี  นครนายก บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ราชบุรี ลพบุรี ลำพูน ศรีสะเกษ สมุทรสงคราม สระบุรี สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์  อุทัยธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ ระยอง ตาก ประจวบคีรีขันธ์ สกลนคร สุรินทร์ สระแก้ว อุบลราชธานีสุพรรณบุรี โดยเพิ่ม นครราชสีมา เข้ามาแทน อยุธยาที่มีรายงานพบผู้ป่วยใหม่เข้ามา

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีการวิเคราะห์ สถานที่แออัดที่ผู้ป่วยเคยเดินทางไปช่วง 14 วันก่อนเริ่มป่วย โดยในกรุงเทพมหานคร พบมากที่สถานบันเทิง สนามมวย สถานที่มั่วสุมเพื่อเล่นการพนัน โรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ฟิตเนส วัด ร้านเสริมสวย มหาวิทยาลัย ร้านอาหาร พื้นที่ท่องเที่ยว ตลาด ห้างสรรพสินค้า การใช้ขนส่งสาธารณะและสถานที่ทำงาน โดยสถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในการวางมาตรการผ่อนปรนที่อาจจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ เพื่อจะได้วางมาตรการ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ตัดสินใจว่าจะวางนโยบายอย่างไร

โฆษก ศบค. กล่าวถึง ระยะเวลาตั้งแต่ผู้ป่วยโควิด-19 เริ่มมีอาการจนถึงวันที่ได้เก็บตัวอย่างทางห้องปฏิบัติการ พบว่าค่าเฉลี่ยผู้ป่วย 542 ราย เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการ ส่วนใหญ่จะเข้าไปตรวจในวันที่ 4 จากที่มีอาการ ซึ่ง 3 วันระหว่างนั้นอาจมีการแพร่กระจายเชื้อไปแล้วและพบมีบางราย 28 วันผ่านไป ได้เข้าไปตรวจและพบติดเชื้อ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะไปแพร่กระจายเชื้อสู่คนอื่นต่อไป โดยนิยามผู้สงสัยติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค พบมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ มีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียส ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อยหรือหายใจลำบาก และเป็นผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยงในช่วง 14 วันอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่มีประวัติเดินทางไปหรือมาจากหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่เกิดโรค ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว สถานที่แออัด ไปสถานที่ชุมชน ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า โดยทั้งหมดหากเข้าเกณฑ์จะได้รับการตรวจฟรี  ซึ่งในปัจจุบัน ยืนยันมีระบบการคัดกรองอย่างดี มีชุดตรวจมากเพียงพอและมีสถานที่รับตรวจมากกว่า 100 แห่ง 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขณะที่สถานการณ์โลกพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 2,554,568 ราย เสียชีวิต 177,402 ราย สหรัฐอเมริกาพบติดเชื้อมากที่สุด 817,952 ราย เสียชีวิต 45,279 ราย ขณะที่ไทยอยู่ที่อันดับที่ 55 ของโลก ขณะที่สิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1,111 รายในวันเดียว ซึ่งต้องนำตัวอย่างจากสิงคโปร์มาเรียนรู้ 

“ผอ.ศบค. พูดว่า สิ่งที่จะต้องตัดสินต่อไป ขึ้นอยู่กับตัวเลขเหล่านี้ เพราะถ้าปรับมาตรการให้มีการผ่อนปรน จนอ่อนลงไปมาก ๆ แล้วเกิดการติดเชื้อขึ้นมาอย่างนี้ ก็จะทำให้สิ่งที่ทำมาดีทั้งหมดร่วมเดือน ที่ทุกคนเสียสละกันมา จะพังทลายลงในเวลาอันสั้น และเราจะสูญเสียทุกอย่างที่เราทำมาทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ต้องมีการเน้นย้ำในการเรียนรู้จากประเทศรอบบ้านของเรา” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว 

โฆษก ศบค. กล่าวถึงแบบสำรวจความเครียดใน 3 ช่วงเวลา 12-18 มีนาคม , 30 มีนาคม-5 เมษายน และ 13-19 เมษายน พบว่าบุคลากรด้านสาธารณสุขมีความเครียดเพิ่มมากขึ้นตามช่วงเวลา โดยช่วงเวลาล่าสุด 13-19 เมษายน พบว่า มีความเครียดมากที่สุด ร้อยละ 5.2 เครียดมาก ร้อยละ 4.2 เครียดปานกลางร้อยละ 24.6 เครียดน้อย ร้อยละ 66 ขณะที่ประชาชนก็มีความเครียดมากขึ้นเช่นกัน โดยพบว่าเครียดมากที่สุด ร้อยละ 2 เครียดมาก ร้อยละ 4.1 เครียดปานกลาง ร้อยละ 25.7 และเครียดน้อย ร้อยละ 68.2 ซึ่งตัวเลขทั้งหมดสอดคล้องกันในช่วงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงไม่แปลกที่จะมีความเครียดเช่นนี้ เพราะเป็นผลด้านจิตใจในสถานการณ์ไม่ปกติ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูแลทุกคน เพราะแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวที่แตกต่างกัน และเป็นเรื่องที่ดีที่คนส่วนใหญ่ในประเทศมีการปรับตัวและมีความเครียดน้อย ขณะที่บุคลากรด้านสาธารณสุข ก็สามารถมีความเครียดได้เพราะได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการทำงาน ซึ่งอาจเกิดภาวะหมดไฟในการทำงานได้ โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบให้กรมสุขภาพจิตและศูนย์สุขภาพเขตทั้งหลายเข้าไปดูแลบุคลากรด้านสาธารณสุข รวมถึงต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ ค่าตอบแทน รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอ ขณะที่ประชาชนที่มีความเครียดต้องแสดงตัว เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแล

นอกจากนี้ มีผู้ฝ่าฝืนการประกาศเคอร์ฟิว โดยมีประชาชนออกนอกเคหสถาน 554 ราย รวมกลุ่มชุมนุมและมั่วสุมจำนวน 55 ราย

อย่างไรก็ตาม วันนี้จะมีเที่ยวบินคนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับไทย จาก ประเทศรัสเซีย 25 คน เกาหลีใต้ 60 คน และเวียดนาม 115 คน.-สำนักข่าวไทย       

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.ตร.รับทราบเหตุปะทะเดือดสงขลา ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กต่าย” พยักหน้ารับทราบ เหตุปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ พื้นที่ จ.สงขลา ระบุขอเข้าประชุมก่อน พลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาประชุมร่วมกับกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่อาคารรัฐสภา โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า ได้รับรายงานเรื่องการปะทะเดือด เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่บ้านห้วยเต่า สงขลา แล้วหรือไม่ โดยพลตํารวจเอก กิตติ์รัฐ พยักหน้า แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ระบุเพียงว่าขอเข้าประชุมก่อน -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์ ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ

รัฐสภา 11 ก.ย.- “บิ๊กเต่า” ชี้เป้าตลก 3 พยางค์โผล่วันจับ “ทิดอลงกต” ส่อโยงเส้นเงินวัดพระบาทน้ำพุ พบพิรุธ ยังไม่มารายงานตัว พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีทิดอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ ที่มีการเปิดเผยออกมาว่า ตลกชื่อ 3 พยางค์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินวัดพระบาทน้ำพุด้วย ว่า มีตลกอีก 1 คนที่ยังเป็นเป้าหมายยังไม่ได้มาแสดงตัวและยังไม่ได้มาให้การ พนักงานสอบสวนจะเรียกมาเอง ซึ่งพบพิรุธเยอะว่าทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามวิธีการที่ทำในการเข้าไปช่วยเหลือ ทิดอลงกต ในการขนย้ายสิ่งของ ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ และไม่เหมือนดาราท่านอื่น ที่เป็นการรับจ้างงาน แต่คนนี้น่าจะเป็นคนที่สนิทส่วนตัว เป็นคนที่เคยถูกดำเนินคดีอยู่ เมื่อถามว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เลยใช่หรือไม่ พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ กล่าวว่าเป็นคนลึกลับซับซ้อน ซึ่งเป็นคนที่เคยโผล่ให้เห็นในวันที่ทิดอลงกตถูกจับ -สำนักข่าวไทย

พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที จนท.สวนสัตว์ ลงจากรถ แล้วถูกสิงโตตะปบรุมขย้ำ

กทม. 10 ก.ย.-พ.อ.นพ.ธวัชชัย เล่านาที สิงโตตะปบเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ จากนั้นสิงโตอีก 5 ตัว รุมขย้ำ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ขัดขืนหรือร้องขอความช่วยเหลือ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตอาจารย์และแพทย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หรือเป็นที่รู้จักในฐานะหมอที่มาช่วยเหลือในคดีการเสียชีวิตของแตงโม ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า วันนี้ตนมาเที่ยวสวนสัตว์ โดยได้ขับรถเข้าไปในโซนซาฟารี ขณะนั้นมีรถนักท่องเที่ยวหลายคันเข้าชม เมื่อมาถึงบริเวณโซนสิงโต ก็พบว่ามีรถของเจ้าหน้าที่รายหนึ่งซึ่งเป็นรถของสวนสัตว์จอดอยู่คันเดียว ตอนนั้นตนเองก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่ใช่ช่วงเวลาให้อาหารสัตว์และเจ้าหน้าที่รายนี้อยู่คนเดียว ได้ลงมายืนข้างล่างของรถ ฝั่งคนขับ โดยเปิดประตูทิ้งไว้ แต่ไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนเฉยๆ ลักษณะยืนหันหน้า เข้าหารถ หันหลังให้สัตว์ ซึ่งตนก็รู้สึกแปลกอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีต้นไม้บัง ตนก็เลยไม่เห็นว่าในมือถืออะไร จากนั้นประมาณ 3 นาที ก็มีสิงโตตัวหนึ่งค่อยๆ ย่องมาทางข้างหลังช้าๆ ก่อนจะตะครุบเข้าข้างหลังเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวทันที โดยที่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวไม่ได้มีท่าที ขัดขืน ดิ้นรนต่อสู้ หรือร้องขอชีวิตแต่อย่างใด หลังจากนั้น สิงโตตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆ เดินตามมารุมกัดตามที่ปรากฏในคลิป ตนเองไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ทำได้เพียงแต่บีบแตรรถ เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคันอื่น ที่ช่วยกันบีบแตร ผ่านไปประมาณ 10 […]

สิงโตสวนสัตว์เอกชน ลาก จนท.ไปรุมกัด สาหัส

กทม. 10 ก.ย.-สิงโตในสวนสัตว์เอกชน ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ลากไปรุมกัด อาการสาหัส นักท่องเที่ยวบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้ พ.ต.อ.นิรุชพล โยธามาตย์ ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (10 ก.ย.68) ได้รับรายงานว่า เกิดเหตุสิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่ ภายในสวนสัตว์ของเอกชน จากการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ลงไปให้อาหาร โดยไม่ปฏิบัติตามกฎของบริษัท จึงทำให้ถูกสิงโตรุมทำร้าย เบื้องต้นอาการสาหัส นำตัวส่งโรงพยาบาล ประสานพนักงานสอบสวนเชิญตัวเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์มาสอบปากคำ และลงบันทึกประจำวัน โดยยังไม่มีญาติของเจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายมาแจ้งความแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวบันทึกไว้ได้ บริเวณส่วนจัดแสดงสิงโต มีรั้วขนาดใหญ่เปิดให้รถเข้า-ออก เป็นพื้นที่เปิด ให้นักท่องเที่ยวขับรถเข้าไปด้านใน มีป้ายกำกับชัดเจนห้ามเปิดกระจกและห้ามลงจากรถ ด้านในจะมีรถของสวนสัตว์จอดดูแลความปลอดภัย และบางช่วงมีการจัดแสดงโชว์ให้อาหารสิงโตที่อยู่ด้านใน.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“พล.ท.บุญสิน” ยันยังไม่ดำเนินการโครงการอบรมโดรนเกษตร

กทม. 12 ก.ย.- “พล.ท.บุญสิน” แจงบริษัทเอกชนมามอบของ-ถ่ายรูป พร้อมเสนอโครงการอบรมโดรนเกษตร ยืนยันยังไม่ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อวันที่ 12 ก.ย.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีที่มีบริษัทเอกชนเข้ามาถ่ายรูปร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 2 โดยมีการนำโครงการ “อบรมการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ให้กับทหารเพื่อเป็นการเพิ่มทักษะ เพื่อใช้ในการเกษตร” วานนี้ (11 ก.ย.) ว่า บริษัทดังกล่าวได้เข้ามาพบเหมือนกับพี่น้องประชาชนและบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาพบมอบของ เพียงแต่ว่าทางบริษัทนี้เข้ามานำเสนอโครงการโดรน ตนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรมาก เพียงแต่รับฟังไว้ ประมาณ 10 นาที ทางคณะดังกล่าวก็ขอถ่ายภาพ ก่อนเดินทางกลับ “ผมยืนยันว่า ยังไม่ได้มีการดำเนินการทำอะไรเลย ยังไม่ผ่านการตรวจสอบให้รอบคอบ ยืนยันอีกครั้งยังไม่ได้ดำเนินการอะไรทั้งนั้น” พล.ท.บุญสิน กล่าว.-313.-สำนักข่าวไทย

“เฉลิมชัย” ไขก๊อกหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว

พรรคประชาธิปัตย์ 12 ก.ย.-“เฉลิมชัย” ไขก๊อกจากหัวหน้าพรรค ปชป. แบบไม่บอกกล่าว ด้าน “ชัยชนะ” ยันไม่มีขัดแย้ง ในพรรครักกันดี ไม่มีแพแตก นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยื่นหนังสือลาออกจากหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ว่า ตนก็เพิ่งทราบข่าว โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้ามาก่อน แต่ยืนยันว่าในพรรคไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งอะไร รักกันดี ทุกคนแต่การตัดสินใจลาออกครั้งนี้เป็นอย่างไรต้องไปถามนายเฉลิมชัยเอง แต่ยืนยันว่า หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรค ทุกคนมีความรักใคร่กันดี และตนเชื่อว่านายเฉลิมชัยก็เป็นคนหนึ่งที่รักพรรคประชาธิปัตย์ และทำงานให้กับพรรคมาโดยตลอด ซึ่งตนก็รู้สึกเสียดายและใจหายซึ่งที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณหรือบอกอะไร สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการตามข้อบังคับพรรคและตามกฎหมาย โดยต้องเรียกประชุมวิสามัญ เพื่อนเลือก หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคใหม่เมื่อถามว่าบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชัยชนะกล่าวว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องทำหน้าที่กันต่อไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็มาเลือกคัดสรรกันใหม่ และหลังจากนี้ต้องรอดูว่าใครจะเข้ามาบริหารพรรค และกำหนดนโยบายทิศทางพรรคอย่างไร แต่ตนก็เป็นสมาชิกพรรคคนหนึ่งที่ยังยืนหยัด อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าการที่นายเฉลิมชัย ลาออกตอนนี้ เป็นสัญญาณอะไรหรือไม่เนื่องจาก มีไทม์ไลน์ จะยุบสภา ภายใน สี่ เดือน จะไปสังกัดพรรคอื่นหรือไม่ ได้ชัยชนะกล่าวว่าอย่ามองเช่นนั้น เพราะตนเชื่อว่านายเฉลิมชัย […]

ผลักดัน “นางเขื่อน” พร้อมครอบครัว 7 คน กลับกัมพูชา

จันทบุรี 12 ก.ย. – ตม.ศรีสะเกษ ประสาน ตม.จันทบุรี ส่งตัว “นางเขื่อน” พร้อมครอบครัว รวม 7 คน กลับกัมพูชา หลังถูกกล่าวหาเป็นไส้ศึก และถูกชาวบ้านรวมตัวขับไล่ ทั้งยังพบอาศัยอยู่ในไทยอย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดศรีสะเกษ นำตัวนางเขื่อน ชาวกัมพูชา และสมาชิกครอบครัว รวมทั้งหมด 7 คน เดินทางไปที่ด่านผ่านแดนถาวรบ้านแหลม จ.จันทบุรี โดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจันทบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รอรับตัวอยู่ก่อนแล้ว เพื่อผลักดันกลับประเทศกัมพูชา เนื่องจากที่ผ่านมา นางเขื่อน ถูกชาวบ้านในพื้นที่ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ รวมตัวกันขับไล่ หลังจากถูกกล่าวหาว่าเป็น “ไส้ศึก” คอยส่งข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของทหารไทยให้กับฝ่ายกัมพูชา และยังพบว่าทั้งหมดอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย จึงดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบการต่างประเทศ เพื่อส่งตัวกลับภูมิลำเนา. – สำนักข่าวไทย

“ชัชชาติ” ยืนยันไม่ลาออกผู้ว่าฯ กทม. ก่อนครบวาระ

กรุงเทพฯ 12 ก.ย. – “ชัชชาติ” ยืนยันไม่ลาออกผู้ว่าฯ กทม. ก่อนครบวาระ งบปี 69 เน้นเส้นเลือดฝอยคู่เส้นเลือดใหญ่ สถานการณ์น้ำตอนนี้ เตรียมรับน้ำเหนือ-พายุ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า วันนี้เป็นการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่สองและวาระที่สาม ซึ่งจะมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างเข้มข้น เนื่องจากกว่า 30 วันที่ผ่านมา น่าจะได้ข้อสรุปว่าจะเพิ่มหรือลดงบประมาณอย่างไร ในจุดไหนบ้าง โดยผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด เพื่อประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน สำหรับงบประมาณส่วนใหญ่ได้ตามที่ตั้งเสนอของบฯ ไว้ โดยจะเน้นงบประมาณลงพื้นที่เขตมากขึ้น เช่น การก่อสร้างและปรับปรุงถนน การก่อสร้างฝายถนน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายเส้นเลือดฝอย รวมถึงงบประมาณที่จะพัฒนาเส้นเลือดใหญ่ เช่น ก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ การติดตั้งเซ็นเซอร์วัดการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่จะติดตั้งบนอาคารสูงของโรงพยาบาลแห่งใหม่ ก็ได้ตามที่เสนอของบประมาณไว้ […]