กรุงเทพฯ 30 มี.ค. – การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง เร่งตรวจสอบสิทธิ์ผู้ยื่นขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เตรียมจ่ายงวดแรกพรุ่งนี้ (31 มี.ค.) โดยวงเงินขอคืนกว่า 7 พันล้านบาท ด้าน 2 การประปาเร่งทำแนวทางคืนเงินประกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังจากเปิดยื่นลงทะเบียนเพื่อขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา จนถึงเช้าวันนี้ (30 มี.ค.) ปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนผ่านการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รวมทั้งหมด 4.25 ล้านราย วงเงินขอคืนเงินรวม 7,280 ล้านบาท โดยทั้ง 2 หน่วยงานเร่งตรวจสอบสิทธิ์ และจะเริ่มคืนเงินงวดแรกวันพรุ่งนี้ (31 มี.ค.) ตามขนาดมิเตอร์ทั้งในส่วนประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการขนาดเล็ก ที่จะได้เงินคืนประมาณ 300-8,000 บาท/ราย
ขณะที่การประปานครหลวง (กปน.) และการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เร่งวางมาตรการตามมติ ครม. เพื่อลดผลกระทบประชาชนจากการระบาดของโรค COVID-19 เร่งวางระบบคืนเงินประกันการใช้น้ำให้กับผู้ใช้น้ำประเภทที่ 1 ที่พักอาศัยในดือนพฤษภาคมนี้ โดยจะให้ลูกค้ายื่นขอสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เช่นกัน ซึ่งในส่วนของ กปน.มีลูกค้าในพื้นที่บริการ คือ กทม.-สมุทรปราการ-นนทบุรี ประมาณ 2 ล้านราย เงินประกันอยู่ที่ 400-600 บาท/ราย ส่วนพื้นที่เหลือเป็นลูกค้าของ กปภ. โดย กปภ.ประกาศให้ลูกค้าเริ่มลงทะเบียนขอเงินประกันคืนได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้ และจะเริ่มจ่ายเงินประกันคืนตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคมเป็นต้นไป
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นซุปเปอร์โพลพบประชาชนพึงพอใจมาตรการช่วยบรรเทาราคาน้ำมัน-ก๊าซหุงต้มในช่วงสถานการณ์การรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินมาตรการของกระทรวงพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอย่างยิ่ง โดยตนมองว่า ความพึงพอใจดังกล่าวเกิดจากประชาชนสามารถสัมผัสได้โดยตรง เนื่องจากค่าเชื้อเพลิงต่าง ๆ คือต้นทุนอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวัน เมื่อราคาปรับลดลงก็สามารถลดภาระได้ทันที ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในส่วนของมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคืนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ที่สามารถรองรับคำร้องของประชาชนได้อย่างต่อเนื่องและไม่ซับซ้อน โดยเชื่อว่าวงเงินที่ประชาชนมาขอคืนเงินประกันไฟฟ้ากว่า 7,000 ล้านบาท ทำให้ประชาชนมีเงินสำรองนำมาใช้จ่ายเป็นค่าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นได้.-สำนักข่าวไทย
