สภาหอฯ ถกภาคธุรกิจรับมือโควิด-19

กรุงเทพฯ 9 มี.ค.- สภาหอการค้าไทยนำ 8 กลุ่มธุรกิจ ถกรับมือโควิด-19 ส่งรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ ด้าน ททท.ปรับลดเป้านักท่องเที่ยว กรณีดีมีความเป็นไปได้ร้อยละ 70 ลดเหลือ 34.2 ล้านคน กรณีเลวร้าย มีความเป็นไปได้ร้อยละ 30 จะมียอดเหลือเพียง 30 ล้านคน


สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ไทยช่วยไทย:โอกาสจากวิกฤติ COVID-19” โดยมี 8 กลุ่มธุรกิจเข้าร่วม เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อความอยู่รอด การกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ตลอดจนการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนการสื่อสารที่ชัดเจน ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจที่พัก/โรงแรม/รีสอร์ท กลุ่มธุรกิจค้าปลีก, กลุ่มธุรกิจอาหาร/เครื่องดื่ม/ภัตตาคาร, กลุ่มธุรกิจ Entertainment and Man Made เช่น สวนสนุก สวนน้ำ ศูนย์ประชุม, กลุ่มธุรกิจการเดินทาง, กลุ่มุธุรกิจบริการทัวร์ และกลุ่มธุรกิจ Health and Wellness และกลุ่มธุรกิจสื่อสารและประชาสัมพันธ์

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อรับทราบผลกระทบและหาแนวทางช่วยเหลือ เช่น บริษัทขนาดใหญ่จะช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามที่รัฐบาลออกมาตรการพี่ช่วยน้อง ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่สามารถนำค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบคคลได้ถึง 2 เท่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยอยากจะเห็นเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้ไป และจากการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลจะออกมาตรการหลาย อย่างช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น มาตรการทางการเงินที่จะให้ธนาคารรัฐส่งต่อให้ธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  คาดว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพรุ่งนี้ (10 มี.ค.) จะอนุมัติมาตรการนี้ในรูปของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 2 ต่อปี โดยมีเป้าหมายไม่ให้ผู้ประกอบการเลิกจ้างงาน และในการประชุมครั้งนี้ยังมีกลุ่มธนาคารพาณิชย์เข้าร่วม และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ข้อมูลด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวด้วย  และต้องการทราบนโยบายภาครัฐ ขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เช่น บางกระทรวงให้ข้าราชการออกไปประชุมสัมมนาต่างจังหวัด ขณะที่บางกระทรวงระบุว่าไม่ได้ ซึ่งต้องการให้มีความชัดเจนเรื่องนี้ นอกจากนี้ จะต้องหามาตรการสร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวให้มีความมั่นใจที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำหรับผลสรุปจากการประชุมเชิงปฏิบัติครั้งนี้จะส่งมอบให้รัฐบาลพิจารณาจัดมาตรการสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการต่อไปด้วย  


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ททท.จับตาตั้งแต่กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีนประกาศห้ามคนจีนออกเดินทางนอกประเทศ โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2563 พบว่า นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลงมากกว่าร้อยละ 23 และยังมีแนวโน้มลดลงอีก คาดการณ์กรณีดีมีความเป็นไปได้ร้อยละ 70 สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 สามารถควบคุมได้และน่าจะสิ้นสุดประมาณเดือนมีนาคม 2563 และเดือนเมษายน 2563 จะเป็นเดือนที่นักท่องเที่ยวต่ำสุด ก่อนจะปรับตัวขึ้นอีก 2 เดือน คือ พฤษภาคม-มิถุนายน 2563 และตัวเลขกลับมาเป็นบวกเดือนกรกฎาคม 2563  กรณีนี้เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมตลอดปี 2563 จะมียอดรวม 34.2 ล้านคน ลดลงจากปี 2562 ที่มียอดรวม 39.8 ล้านคน  

ส่วนกรณีเลวร้าย มีความเป็นไปได้ร้อยละ 30 สถานการณ์ต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคม 2563 และเป็นจุดต่ำสุด คาดว่าการฟื้นตัวต้องใช้เวลามากกว่าเดิม โดยการท่องเที่ยวจะสามารถฟื้นตัวใช้เวลาอีก 3 เดือนคือ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2563 การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวเดือนกันยายน 2563 กรณีนี้ เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติภาพรวมจะลดลงเหลือประมาณ 30 ล้านคน  ใช้จ่ายคนละประมาณ 50,000 บาท รายได้จะอยู่ในระดับ 1.5-1.6 ล้านล้านบาท  โดยนักท่องเที่ยวจากยุโรปยังคงเดินทางเข้ามาในไทยโดยรัสเซียเข้ามาเพิ่มขึ้น คาดหวังว่าบางกลุ่มอยากมาประเทศไทยแต่ก่อนหน้านี้ประเทศไทยนักท่องเที่ยวหนาแน่นก็จะใช้โอกาสนี้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และยังมีนักท่องเทียวจากอาเซียน ปีที่แล้วรวมเกือบ 8 ล้านคน และยังมีนักท่องเที่ยวจากทางเอเชียใต้ด้วย  


“สิ่งสำคัญที่สุด คือ ทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวแล้วรู้สึกปลอดภัย ขณะนี้จีนอนุญาตให้เที่ยวภายในมลฑลจากนั้นขยายท่องเที่ยวระหว่างมลฑล จากนั้นจะทำรายชื่อประเทศที่แนะนำให้เดินทางและไม่แนะนำให้เดินทาง ซึ่งประเทศไทยจะต้องสร้างความมั่นใจว่าเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยปลอดภัย มีมาตรฐานที่ดี” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

ส่วนเป้าหมายคนไทยเที่ยวกันเองภายในประเทศยังยืนยันตัวเลขเดิม คือ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 167 ล้านคนครั้ง เป็น 172 ล้านคนครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปี 2562 รายได้จะเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอีก 100,000-200,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้ไทยเที่ยวไทย 1.1 ล้านล้านบาท โดยคนไทยปรับเปลี่ยนการท่องเที่ยวในระยะทางใกล้ ๆ ไม่เกิน 300 กิโลเมตร เดินทางโดยรถตู้ เช่น พัทยา กาญจนบุรี หัวหิน และประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น ซึ่งพื้นที่เหล่านี้อัตราการเข้าพักของโรงแรมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ 

“ตอนนี้รัฐบาลมอง 2 เรื่อง คือ ทำอย่างไรประเทศไทยจะปลอดภัยจากไวรัสโควิด-19 ทำอย่างไรเมื่อสถานการณ์กลับมาสู่ปกติยังมีผู้ประกอบการทำธุรกิจต่อไปได้ จึงเน้นพยุงให้สถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งช่วยด้านการพัฒนา ลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ” นายยุทธศักดิ์ กล่าว 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวว่า ผลที่ได้จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ไทยช่วยไทย:โอกาสจากวิกฤติ COVID-19” วันนี้ทางหอการค้าแห่งประเทศไทยจะมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปดำเนินการ 3 เรื่อง คือ มาตรการควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ในประเทศไทย เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวยังเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประมาณร้อยละ 50 หากไวรัสยังคงแพร่ระบาดนักท่องเที่ยวจะหายไปอีก รัฐบาลจึงทำทุกวิถีทางเตรียมการป้องกันให้ได้  เรื่องที่ 2 คือ หามาตรการให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่รอดได้ผ่านมาตรการต่าง ๆ ทั้งยืดหนี้ การลดรายจ่าย การดูแลมัคคุเทศก์ เป็นต้น เพราะเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะกลับมาทำธุรกิจได้เป้าหมายที่ 3 คือ ในช่วง 3-4 เดือนนี้ เตรียมการเพื่ออนาคต โดยรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการ Ease of Travelling เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่อไป  

“สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้มีผู้ป่วยสะสมเกือบ 100,000 คน มีผู้เสียชีวิตเกือบ 4,000 คน   และได้แพร่ระบบออกไปอีก 3 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ อิหร่านและอิตาลี ผู้ป่วยแต่ละประเทศเข้าใกล้ 10,000 คน ผลกระทบต่อประเทศไทย คือ นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาลดลงประมาณร้อยละ 45 จึงหารือกับภาคเอกชน เพื่อหามาตรการช่วยเหลือต่อไป” นายกอบศักดิ์ กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย