16 ก.ย. – ทนายวัดนาป่าพง แจงยิบไทม์ไลน์โอนเงิน 12 ล้าน ไปให้สีกาที่เยอรมนี ยืนยันใช้ก่อตั้งมูลนิธิ หวังเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ใช่เสน่หาหรือยักยอกเงินวัด เชื่อเป็นขบวนการล้มพระอาจารย์คึกฤทธิ์
ความคืบหน้าการตรวจสอบพระวัดดังใน จ.ปทุมธานี หลังมีการแจ้งความกองปราบฯ ให้ตรวจสอบปมเงินบริจาควัดที่มีการโอนไปยังต่างประเทศ รวมถึงปล่อยคลิปลักษณะที่ใกล้ชิดกับสีกาในร้านเครื่องประดับ วันนี้ (16 ก.ย.) นายนันทน อินทนนท์ และคณะทนายความของวัดนาป่าพง ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงประเด็นต่างๆ โดยมี อ.เบียร์ คนตื่นธรรม พระลูกวัด และศิษยานุศิษย์ของวัด มาร่วมฟังคำแถลงข่าวอีกเป็นจำนวนมาก
ในส่วนของคลิปกับสีกาในร้านเครื่องประดับในต่างประเทศ ทนายความยืนยันว่าสีกาคนดังกล่าวเป็นโยมอุปัฏฐาก ที่ทำหน้าที่ดูแลพระอาจารย์คึกฤทธิ์ และดูแลช่องทางการสื่อสารของวัด คือพุทธวจนเรียล อย่างเปิดเผยตั้งแต่แรก แต่คลิปวิดีโอที่ถูกนำมาเผยแพร่พยายามเชื่อมโยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสีกาคนดังกล่าวกับพระอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นการตัดต่อที่ตั้งใจให้เกิดความเข้าใจผิด

แจงไทม์ไลน์ยิบ โอนเงินไปต่างประเทศใช้ก่อตั้งมูลนิธิ
ส่วนกรณีมีการโอนเงินจากพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ไปยังสีกาที่เยอรมนี ทีมทนายความยอมรับว่าเอกสารต่างๆ ที่เผยแพร่ในสื่อ เป็นเอกสารที่ทางวัดยื่นต่อศาลที่เยอรมนี ไม่ใช่เอกสารที่ต้องปิดบัง สามารถเปิดเผยได้ เพราะไวยาวัจกรเป็นผู้โอนเงินเอง พร้อมชี้แจงว่าเป็นการโอนเงินเพื่อไปสร้างวัดและมูลนิธิที่ประเทศเยอรมนี โดยไล่เรียงไทม์ชี้แจงอย่างละเอียด
เริ่มตั้งแต่ปี 2561 พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ต้องการเผยแพร่คำสอนในต่างประเทศ หนึ่งในวิธีการคือการจัดตั้งวัดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเยอรมนีมีลูกศิษย์ของวัดจำนวนมาก โดยการจะก่อตั้งวัดมีความยุ่งยาก และต้องดำเนินการในฐานะมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล จำเป็นต้องมีคณะกรรมการและเงินทุน เหมือนการจัดตั้งนิติบุคคลในไทย รวมถึงต้องใช้ภาษาเยอรมันในการทำเอกสาร พระอาจารย์คึกฤทธิ์จึงรวบรวมลูกศิษย์เพื่อก่อตั้งมูลนิธิ โดยมีหญิงรายหนึ่งที่มีถิ่นฐานที่ต่างประเทศ และใช้ภาษาเยอรมันได้ จึงตั้งเป็นรองประธานกรรมการ มีหนังสือมอบอำนาจ และทำหนังสือมอบความไว้วางใจให้ดำเนินธุรกรรม และดำเนินการทางนิติกรรมต่างๆ แทนพระอาจารย์ได้ รวมถึงต้องใช้เงิน 210,000 ยูโร ในการจัดตั้ง โดยไม่สามารถนำออกไปใช้สอยได้ ส่วนอีก 10,000 ยูโร สามารถใช้สอยได้ และจะต้องจดทะเบียนเพื่อเสียภาษี หญิงรายดังกล่าวจึงมาเปิดบัญชีในไทยเพื่อรับฝากเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งได้มาจากเหล่าลูกศิษย์ โดยมีวัตถุประสงค์คือการก่อตั้งมูลนิธิ
จากการตรวจสอบมีการโอนจากธนาคารของหญิงคนนี้ไปยังบัญชีของสมาคมพุทธวจน จำนวน 2 บัญชี ที่เยอรมนี 27 ครั้ง ในห้วงเดือน เม.ย.-ก.ค. 61 ระหว่างนั้นมีการโอนเงินจากบัญชีไทยเข้าบัญชีสมาคมไม่ครบ และยังแนะนำให้พระอาจารย์เปิดบัญชีส่วนตัว โดยอ้างว่าในการขอวีซ่าต้องมีหลักฐานการเงินเป็นหลักแหล่ง จึงแนะนำทั้งพระอาจารย์และคนใกล้ชิด 2 คน เปิดบัญชีธนาคารส่วนบุคคลในเยอรมนี เพื่อให้ทำวีซ่าได้ง่าย

แต่เกิดข้อขัดแย้งขึ้นระหว่างสีกากับธนาคารต่างประเทศ ที่เปิดบัญชีไว้ เนื่องจากภายหลังจากพระอาจารย์เปิดบัญชีส่วนตัว สีกาได้ปิดบัญชีสมาคมทันที ทำให้ธนาคารเกิดความสงสัยว่าหญิงคนดังกล่าวอาจมีพฤติการณ์ฟอกเงิน อัยการในเยอรมนี จึงสอบสวนแหล่งที่มาของเงิน ขณะเดียวกันธนาคารได้อายัดเงินในบัญชีส่วนบุคคลที่เปิดไว้ระหว่างดำเนินการ หลังจากนั้นวัดได้ส่งเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้กับอัยการ สุดท้ายจึงมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาฟอกเงิน
ในช่วงเดียวกัน มูลนิธิก็อยู่ระหว่างก่อตั้ง โดยจะต้องได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่ในเยอรมนี แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลการฟ้องร้องจึงไม่ยอมรับรองให้ หลังจากนั้นพระอาจารย์และทางวัด ได้ติดต่อไปยังรัฐบาลบาวาเรีย และสามารถยืนยันให้เห็นว่าเป็นองค์กรการกุศลจริง จนก่อตั้งมูลนิธิสำเร็จ ซึ่งในการดำเนินการนี้ ทางบาวาเรียได้สั่งให้โอนเงินทั้งหมดจากทุกบัญชีที่เกี่ยวข้องมาอยู่ที่บัญชีทางการที่บาวาเรียให้การยอมรับ โดยมีการเปิดบัญชีมูลนิธิในธนาคารท้องถิ่นบาวาเรีย เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 62 และในวันที่ 1 มี.ค. 62 ได้โอนเงินทุนประเดิมจำนวน 210,000 ยูโร (12 ล้านบาท) เข้าไปในบัญชีใหม่ และมีการจดทะเบียนภาษีเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว แต่หลังจากนั้นมูลนิธิไม่มีกิจกรรมใดต่อ เงินก้อนนั้นก็ยังอยู่ในบัญชีจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น เงินจากวัดนำเข้ามูลนิธิทั้งหมด ไม่มีการใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น
หลังจากก่อตั้งมูลนิธิสำเร็จ หญิงรายนั้นติดต่อมาว่าขอค่าใช้จ่ายรายเดือนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายค่าเช่าสถานที่และการดำเนินการภายในสำนักงานมูลนิธิ แต่กลับพบว่าจำนวนเงินที่ใช้จ่ายไม่ตรงกับจำนวนเงินที่แจ้งขอ จึงมีการฟ้องร้องดำเนินคดียักยอกทรัพย์กับหญิงรายนี้ เพื่อเรียกร้องเงินที่ขาดหายไปจากบัญชีประมาณ 350,000 ยูโร
เบื้องต้นศาลให้จำเลยซึ่งก็คือหญิงคนดังกล่าว ชำระเงินให้กับวัด แต่มีข้อต่อรองว่าขอลดจำนวนเงิน ซึ่งพระอาจารย์ตกลง แต่หลังจากนั้นหญิงคนดังกล่าวไม่สามารถหาทนายความได้ ศาลจึงเลื่อนพิจารณาคดีออกไปก่อนจนกว่าฝ่ายจำเลยจะหาทนายความได้ ขณะเดียวกันมีความพยายามฟ้องร้องกลับพระอาจารย์ ในข้อหายักยอกและฟอกเงินในเยอรมนี แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ หลังจากมีปัญหาความไว้วางใจ พระอาจารย์ได้ยกเลิกการแต่งตั้งให้หญิงคนดังกล่าวเป็นผู้รับมอบอำนาจและได้รับความไว้วางใจ จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุของความพยายามร้องเรียนในไทย
ขณะนี้ยังไม่มีแนวทางการต่อสู้คดี เนื่งจากยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นทนายอย่างเป็นทางการ วันนี้เพียงรับมอบอำนาจมาชี้แจงต่อสื่อเท่านั้น และที่พระอาจารย์ไม่ออกมาแถลงเองเพราะกระบวนการจัดตั้งซับซ้อน และเป็นภาษาเยอรมัน อาจไม่คล่องตัวในการศึกษาข้อมูล จึงมอบหมายให้ตนเป็นผู้ชี้แจง โดยทางวัดยังไม่ได้รับการติดต่อจากหน่วยงานใดเพื่อให้ข้อมูล ยืนยันว่าทางวัดและพระอาจารย์ดำเนินการทุกอย่างเพื่อเผยแผ่คำสอนทางพระพุทธศาสนา และมีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา หากมีการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือพระวินัย เชื่อว่าจะไม่พ้นบ่วงแห่งกรรมแน่นอน.-สำนักข่าวไทย