กรุงเทพฯ 22 ม.ค. – สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดประเมินจีดีพีไทยปี 63 มีโอกาสโต 3% หากรัฐบาลเบิกจ่ายงบลงทุน ก.พ.นี้ และการท่องเที่ยวไม่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นและไวรัสโคโรนา ขณะที่ค่าบาทมองอยู่ที่ 29.25 ในช่วงไตรมาส 1 และอ่อนค่าเล็กน้อยอยู่ที่ 31 บาทในช่วงปลายปี 63
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัวได้ดีสุด 3% จากปัจจัยบวกคือรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 หากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้การเบิกจ่ายงบล่าช้าออกไปอาจทำให้จีดีพีไทยโตได้เพียง 2.5% เท่ากับปี 2562 รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวของไทยที่ยังขยายตัวได้ ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยเพียงตัวเดียวขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวไทยยังมีความเสี่ยงจากปัญหาฝุ่นที่แม้จะยังไม่ส่งผลกระทบชัดเจนต่อภาคการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นปัญหาที่ยังหาทางแก้ไม่ได้ และปัญหาเชื้อไวรัสโคโรนาที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวจีนซึ่งมีสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยลดลง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ คือ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาภัยแล้งที่ยังไม่คลี่คลาย ค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ยังมีความเปราะบาง ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ สงครามทางการค้า และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง แม้สถานการณ์จะนิ่งขึ้น แต่ยังคงต้องติดตามใกล้ชิด
พร้อมมองว่าจากสถานการณ์ดังกล่าว ไทยจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 1 หรือลดลง 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1% ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดครั้งใหม่ รวมทั้งภาครัฐต้องเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนลงทุนตามซึ่งจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพราะหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้เครื่องมือเข้ามาดูแลค่าเงินมากเกินไปอาจถูกสหรัฐกล่าวหาว่าเป็นประเทศที่แทรกแซงค่าเงินและถูกมาตรการกีดกันทางการค้า โดยประเมินค่าเงินบาทไทยในช่วงไตรมาส 1 จะอยู่ที่ 29.25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และค่อย ๆ อ่อนค่าเล็กน้อย ทำให้ช่วงปลายปีอยู่ที่ประมาณ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ .- สำนักข่าวไทย