กรุงเทพฯ 10 ส.ค. – ภาษีทรัมป์กลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียน เพิ่มโอกาสส่งออกไทยและอาเซียน ดันจีดีพีเกิน 2% แนะ กนง. ลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ทรัมป์เรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรในอัตราที่แตกต่างกันมากระหว่างกลุ่ม BRICS และกลุ่มอาเซียน การแข่งขันระหว่างสินค้าส่งออกในกลุ่ม BRICS และอาเซียนในตลาดสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ สินค้าส่งออกบางประเภทสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่บางประเทศได้โอกาสเพิ่มส่วนแบ่งตลาดใหม่ อัตราภาษีทรัมป์ที่เรียกเก็บจากกลุ่ม BRICS สูงกว่าอาเซียนค่อนข้างมาก เป็นการสร้างโอกาสสินค้าส่งออกของไทยและอาเซียนที่ต้องแข่งขันกับกลุ่ม BRICS การส่งออกอาจขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจากประเทศ BRICS มายังไทยและอาเซียนมากขึ้น หากส่วนต่างของอัตราภาษีศุลากรของสองกลุ่มประเทศนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยเหล่านี้ช่วยผลักดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้สูงกว่า 2% ได้ ภายใต้นโยบาย Liberation Tariffs และบทลงโทษเพิ่มเติมของสหรัฐ กลุ่ม BRICS ต้องเผชิญภาษีสูงมาก โดยเฉพาะจีน (55%) และอินเดีย-บราซิล (50%) ส่งผลกระทบหนักต่อสินค้าหลัก เช่น สินค้าเกษตร สิ่งทอ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร เป็นต้น ขณะที่แอฟริกาใต้ ถูกเก็บในระดับปานกลาง (30%) และรัสเซีย ถูกจำกัดการค้าเกือบทั้งหมดจากมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งรวมกันแล้วทำให้ความสามารถแข่งขันของ BRICS ในตลาดสหรัฐ ลดลงอย่างชัดเจน กลุ่ม ASEAN ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเจรจาลดภาษีภายใต้นโยบาย Trump Tariffs โดย ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ถูกปรับลดเหลือเพียง 19% จากเดิมที่สูงกว่าระดับนี้มาก ขณะที่เวียดนาม ยังคงถูกเก็บสูงกว่าที่ 20% ส่วนสิงคโปร์ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 10% และลาว-เมียนมา ยังถูกเก็บสูงถึง 40-50% การลดภาษีนี้ช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขันของ ASEAN ในฐานะฐานการผลิต China Plus One แทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของ DEIIT พบว่าไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย มีศักยภาพเพิ่มส่วนแบ่งตลาดยางและผลิตภัณฑ์ยางในสหรัฐ หลัง BRICS ถูกเก็บภาษีสูง โดยไทย-อินโดนีเซีย เด่นในยางธรรมชาติและยางรถยนต์, เวียดนามได้เปรียบในยางจักรยาน, สิงคโปร์-ไทย-มาเลเซีย แข่งขันได้ดีในยางสังเคราะห์ และไทย-มาเลเซีย เด่นในผลิตภัณฑ์ยางอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ความได้เปรียบเกิดจากต้นทุนแข่งขันต่ำกว่าและอัตราภาษีสหรัฐที่ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งใน BRICS อย่างชัดเจน นอกจากนี้ไทย และบางประเทศ ASEAN ได้เปรียบอย่างชัดเจนในตลาดยานยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐ หลัง BRICS โดยเฉพาะจีน และอินเดีย ถูกเก็บภาษีสูง 50-55% ทำให้คำสั่งซื้อรถกระบะ, รถยนต์อเนกประสงค์ดัดแปลงจากรถกะบะ, รถบรรทุก และชิ้นส่วนสำคัญมีแนวโน้มย้ายมาที่ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะที่ไทยครองความได้เปรียบในรถกระบะและยางรถยนต์ มาเลเซียเด่นในอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ และเวียดนามเสริมในสายไฟและยางมอเตอร์ไซค์
ส่งผลให้ ASEAN มีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดแทน BRICS อย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่จีน และอินเดีย ถูกเก็บภาษีสูงถึง 50-55% ภายใต้ Trump Tariffs ทำให้คำสั่งซื้อโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านมีแนวโน้มย้ายมายังกลุ่มอาเซียนมากขึ้น และอาจมีการย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ ASEAN มากขึ้นในอนาคต โดยเวียดนามโดดเด่นในสมาร์ทโฟนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ไทยแข็งแกร่งในชิ้นส่วนและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ส่วนมาเลเซียและฟิลิปปินส์ มีโอกาสขยายงานในสายเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
กลุ่ม ASEAN ส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเจรจาลดภาษีภายใต้นโยบาย Trump Tariffs โดยไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ถูกปรับลดเหลือเพียง 19% จากเดิมที่สูงกว่า ขณะที่เวียดนาม ยังคงถูกเก็บสูงกว่าที่ 20% ส่วนสิงคโปร์ อยู่ในระดับต่ำสุดที่ 10% และลาว-เมียนมา ยังถูกเก็บสูงถึง 40-50% การลดภาษีนี้ช่วยเพิ่มความสามารถแข่งขันของ ASEAN ในฐานะฐานการผลิต China Plus One แทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ.-515-สำนักข่าวไทย