กกร.ชี้ ศก.ไทยชะลอตัว คงจีดีพีปี 68 ที่ 1.8-2.2% การเมืองกดดันเศรษฐกิจเพิ่ม

กรุงเทพฯ 3 ก.ย. – กกร.คงประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 1.8-2.2% ปัจจัยการเมืองกดดันเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เข้าสู่ภาวะชะลอตัว กังวลเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เสนอรัฐบาลปรับลด-ผ่อนปรนภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่า 50% ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว เปิดแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ให้ทุกฝ่ายเสนอแนวทางร่วมปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ เน้นแก้หนี้ครัวเรือน-เพิ่มขีดความสามารถภาคเอกชน รวบรวมเสนอรัฐบาลใหม่


นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยระบุเศรษฐกิจโลกยังคงปั่นป่วนจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

เศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว เศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาสที่ 1 ส่วนอัตราการว่างงานในระบบในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% ในไตรมาสที่ 1 และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน และภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของ SMEs เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท


คาดว่าปี 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

กกร.มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund

กกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม


กกร. มีความเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน

จากที่ กกร. ได้เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้ง 1) ความเปราะบางที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ 2) ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ ขาดการลงทุนพัฒนาผลิตภาพ ขณะที่แรงงานขาดทักษะที่จำเป็น และ 3) ความท้าทายของภาครัฐ จากพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรงและรวดเร็ว และการไม่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงได้เห็นร่วมกันในการจัดทำกรอบแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง สร้างพลวัตใหม่เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดย Reinvent Thailand จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทุกองค์กรแนวร่วม เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย ภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อและส่งเสริมให้เกิดการเร่งปรับตัวและเรียงลำดับความสำคัญ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ โดยมีการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วม ในการออกแบบนโยบาย การกลั่นกรองแนวทาง การขับเคลื่อนการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง (Result Oriented) โดยเน้นการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พลิกฟื้นศักยภาพในการแข่งขัน

Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มประสานเพื่อผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ได้แก่ 1) การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยบูรณาการทั้งระบบ เชื่อมโยงข้อมูล นำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ 2) การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการลงทุนในเทคโนโลยี ยกระดับทักษะแรงงานและการผลิตด้วยคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เพื่อสร้างตลาด

ทั้งสองนโยบายเป็นเพียงตัวอย่างของแนวนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในอนาคต โดยแนวทางที่วางไว้ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย สามารถใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล ในการวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพิ่มทักษะ สร้างการจ้างงาน รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้.-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

ชนกัน 10 คันรวด ทางลอดอุโมงค์แยกดาราสมุทร จ.ภูเก็ต

ภูเก็ต 23 ก.ย.-รถพ่วง 18 ล้อ บรรทุกเสาเข็ม เบรกแตก พุ่งชนระเนระนาดในอุโมงค์ดาราสมุทร จ.ภูเก็ต รถเสียหาย 10 คัน บาดเจ็บ 4 คน เป็นคนไทย 3 คน และชาวมาเลเซีย 1 คน เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 23 กันยายน 2568 ศูนย์วิทยุพิทักษ์วิชิตได้รับแจ้งเหตุรถชนกันหลายคันภายในอุโมงค์ทางลอดแยกดาราสมุทร ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต มีรถได้รับความเสียหายจำนวนมากและมีผู้บาดเจ็บ พ.ต.อ.สมศักดิ์ ทองเกลี้ยง ผกก.สภ.วิชิต พร้อมด้วย พ.ต.ท.วุฒิวัฒน์ เลี้ยงบุญจินดา รอง ผกก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร รีบรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบการจราจรติดขัดอย่างหนัก รถไม่สามารถผ่านอุโมงค์ได้ทั้ง 2 เลน เบื้องต้นตรวจสอบพบรถชนกันเสียหายรวม 10 คัน มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย อาการแน่นหน้าอก […]

ผลตรวจยืนยัน “น้องข้าวต้ม” ลูกช้างป่าพลัดหลง โครงสร้างผิดปกติตั้งแต่เกิด

สุพรรณบุรี 23 ก.ย. – ทีมสัตวแพทย์สรุปผลตรวจ “น้องข้าวต้ม” ลูกช้างป่าเพศเมียแรกเกิดที่พลัดหลงจากแม่ในพื้นที่ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี พบความผิดปกติทางโครงสร้างร่างกายตั้งแต่เกิด เร่งวางแผนการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากทีมสัตวแพทย์สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าซึ่งร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ตรวจสุขภาพ “น้องข้าวต้ม” อย่างละเอียด โดยผลมีดังนี้ สัตวแพทย์สรุปว่า “น้องข้าวต้ม” มีภาวะโครงสร้างร่างกายผิดปกติตั้งแต่กำเนิดในลูกสัตว์ นอกจากนี้จากภาวะร่างกายที่อ่อนแอ จำเป็นต้องเอาตัวรอด รวมถึงความพยายามช่วยประคับประคองโดยฝูงทำให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้น เบื้องต้นทีมสัตวแพทย์ได้ฉีดยาลดปวดและลดอักเสบให้แล้ว พร้อมวางแผนรักษาตามอาการระยะยาว โดยเน้นการให้อาหารและเสริมโภชนาการควบคู่กับการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ลูกช้างป่าสามารถยืนและเคลื่อนไหวได้ในอนาคต หากอาการไม่ฟื้นตัวดีเท่าที่คาด จะตรวจ X-ray และ Ultrasound ซ้ำอีกครั้ง ลำดับเหตุการณ์การช่วยเหลือลูกช้างป่าตัวนี้ • 21 ก.ย. เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงูได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบลูกช้างเพศเมียนอนอยู่เพียงลำพังในสภาพอ่อนแรงและบาดเจ็บที่ขาหลัง จึงรีบประสานทีมสัตวแพทย์จากสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เข้าช่วยเหลือและเคลื่อนย้ายมาดูแลที่ทำการอุทยานฯ โดยเบื้องต้นได้ป้อนน้ำข้าวต้มเพื่อให้พลังงาน […]

ทหารเขมรเข้าใกล้รั้วภูผี ฝ่ายไทยเตือน แต่เขมรยิงปืนขึ้นฟ้า

ศรีสะเกษ 23 ก.ย.-แม่ทัพภาค 2 เผยได้รับรายงานเหตุทหารเขมรเข้าใกล้เขตรั้วลวดหนามพื้นที่ภูผีแล้ว ฝ่ายไทยเตือน แต่เขมรยิงปืนขึ้นฟ้า ก่อนถูกตอบโต้จนต้องล่าถอยออกไป ยันติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด จากกรณีมีการเผยแพร่ข่าวเหตุยิงปะทะในพื้นที่ภูผี ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.30 น. ตนได้รับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยได้ตรวจพบทหารกัมพูชามีลักษณะท่าทางจะเข้ามาในอธิปไตยไทยใกล้กับเขตรั้วลวดหนาม เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยจึงได้แจ้งเตือน ทำให้ทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กประจำกายยิงขึ้นฟ้า เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทยจึงยิงตอบโต้ไป กระทั่งทหารกัมพูชา ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจำนวน 2-3 นาย ได้ล่าถอยกลับไป ขณะนี้ยืนยันว่า เหตุการณ์ปกติ และกองทัพภาคที่ 2 มีการตรวจเฝ้าระวังทหารกัมพูชาที่รุกล้ำและลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด ซึ่งเรามีมาตรการในการดูแลตรงนี้อยู่แล้วอย่างใกล้ชิด.-313.-สำนักข่าวไทย

ตร.จราจร นำส่งอวัยวะ ถูกรถพุ่งชน

23 ก.ย. – รถแท็กซี่พุ่งชนตำรวจจราจรขณะขี่จยย.นำส่งอวัยวะ บริเวณแยกสวนมิสกวัน กรุงเทพฯ ตำรวจบาดเจ็บที่ขาขวาและข้อมือ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา เปิดเผยว่าช่วงเที่ยงวานนี้เกิดเหตุผู้ขับรถแท็กซี่ ไม่ชะลอความเร็วเพื่อหยุดรถเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง ประกอบกับมีขบวนรถของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริที่เปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินขณะปฏิบัติภารกิจนำส่ง “ปอด” จากจังหวัดชลบุรี ไปยังโรงพยาบาลศิริราช ทำให้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนบริเวณแยกสวนมิสกวัน กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาและข้อมือ โชคดีรถแท็กซี่ไม่เฉี่ยวชนกับรถพยาบาลที่บรรทุกอวัยวะ จึงสามารถนำส่ง “ปอด” ให้ถึงมือแพทย์ได้ทันเวลา จึงขอเน้นย้ำไปยังผู้ขับขี่ว่า “เมื่อเห็นสัญญาณไฟและเสียงไซเรน โปรดให้ทาง” ไม่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร เพื่อรักษากฎหมายและช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์.-สำนักข่าวไทย