กรุงเทพฯ 3 ก.ย. – กกร. ระบุภาคเอกชนต้องการความชัดเจนการเมือง จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว ต้องการนายกฯ ที่มีความรู้ เป็นคนเก่ง คนดี กล้าตัดสินใจ ชี้ไม่ว่ายุบสภา หรือตั้งรัฐบาล 4 เดือนแล้วยุบสภา เศรษฐกิจชะงักทั้ง 2 ทาง ห่วงกระทบเบิกจ่ายงบปี 68-69 เศรษฐกิจซึมยาว
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชนมีมติสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา ยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นทางเลือกไหนก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักงัน แม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่มีระยะเวลา 4 เดือน ก็ไม่เพียงพอ เพราะนโยบายเศรษฐกิจใช้เวลาในการขับเคลื่อนมากกว่านี้ ยอมรับว่าเป็นห่วงการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ที่ยังเบิกจ่ายได้มากไม่เท่าที่ควร และคาดว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะทำให้เบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ชะงัก ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายงบลงทุน ส่วนการเจรจาภาษีสหรัฐ มองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงการเจรจาเชิงเทคนิค ซึ่งยังคงมีการเจรจาต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ต้องรอว่าเมื่อการเจรจาจบแล้วจะมี ครม. มาพิจารณาต่อเนื่องหรือไม่
ทั้งนี้ ภาคเอกชน โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยืนยันมาตลอดว่าต้องการความชัดเจนทางการเมือง ขอให้เป็นรัฐบาลที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและนานาชาติ ขณะนี้ประเทศไม่ได้มีเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ยังมีทั้งปัญหาสถานการณ์ชายแดนและภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมยอมรับว่าตามกรอบรัฐธรรมนูญ ทำให้มีตัวเลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้จำกัด แต่ภาคเอกชนยังอยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ทำงานเก่งและทำงานเป็น
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ขณะนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 11 เดือน ยังเบิกจ่ายได้เพียง 50% เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียว ต่างจากในอดีตที่จะเบิกจ่ายได้เฉลี่ยมากกว่า 60% ซึ่งปัญหาสถานการณ์การเมืองในขณะนี้จะยิ่งส่งผลให้การเบิกจ่ายงบได้ไม่เต็มที่
ทั้งนี้ สำหรับทางเลือกหากมีการยุบสภา กระบวนการตลอดจนมีการเลือกตั้งจะใช้เวลา 4-5 เดือน แต่หากมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มีระยะเวลา 4 เดือน รวมกับงการเลือกตั้งใหม่จอะขยายเวลาออกไป 9-10 เดือน ภาคเอกชนมองว่าหากยิ่งทอดเวลายาวยิ่งไม่ดี อยากให้ดำเนินการให้จบเร็ว เนื่องจากขณะนี้ภาวะเศรษฐกิจมีปัญหาหลายปัญหาที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขอย่างรวดเร็ว อย่างการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชาปีนี้ ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค. ติดลบไปแล้ว 9.5% โดยเฉพาะเดือน ก.ค. มูลค่าส่งออก เหลือ 370 ล้านบาท ติดลบ 97% เป็นสิ่งจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการ พร้อมย้ำว่าต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีความรู้ เป็นคนเก่ง เป็นคนดี และกล้าตัดสินใจ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า แม้ขณะนี้ภาคเอกชนมีการดูแลกลุ่มเปราะบางอยู่แล้ว แต่กังวลว่าอาจจะมีกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน ซึมยาว จึงต้องมีการดำเนินการและเร่งให้การชะงักงันจบลงโดยเร็ว สร้างความเชื่อมันไปถึงบรรยากาศทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการจับจ่ายใช้สอยให้เกิดขึ้น.-516-สำนักข่าวไทย