บนสื่อสังคมออนไลน์แชร์เตือน 4 เหตุผลที่ควรเลิกดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล มีทั้งทำให้ลำไส้แย่ลง เพิ่มอัตราภาวะหัวใจหยุดเต้น เสี่ยงไตบกพร่อง ฟันผุ กระดูกพรุน และกระดูกเสื่อมก่อนวัย จริงหรือ ?
🎯 ตรวจสอบข้อเท็จจริงและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ ดร.พิมพ์อร สุขแล้ว อาจารย์ประจำสาขาอาหาร โภชนาการ และการกำหนดอาหาร ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล (Sugar Free)ใส่สารให้ความหวานที่ใช้แทนน้ำตาล (Artificial Sweetener Sugar Substitute) แต่ไม่ให้พลังงาน
การศึกษาในมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาระยะสั้นและยังไม่พบผลเสียที่น่ากังวล จึงยังมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลได้ แต่ต้องดูผลการศึกษาระยะยาวต่อไป
เหตุผลข้อ 1 : สารให้ความหวานแทนน้ำตาล จะทำลายแบคทีเรียในลำไส้ของคนเรา ส่งผลให้สุขภาพลำไส้แย่ลงได้ เสี่ยงต่อภาวะการดื้ออินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวาน
เรื่องนี้มีงานวิจัยจริง ๆ ว่าการกินสารให้ความหวานจะทำให้แบคทีเรียในลำไส้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี แต่บางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี เช่น ซูคราโลส (Sucralose) และแซ็กคาริน (Saccharin) 2 ตัวนี้ มีรายงานว่าถ้าใช้ระยะยาวและปริมาณมากจะทำให้แบคทีเรียในลำไส้เพิ่มจำนวนตัวไม่ดีมากขึ้น แต่บางตัวก็เป็นผลดีไปเป็นพรีไบโอติก (Prebiotic) ก็คืออาหารของจุลินทรีย์ที่ดี น้ำตาลสายสั้น (Oligosaccharides) รวมถึงน้ำตาลหล่อฮั่งก้วย (monk fruit) ด้วย
เสี่ยงต่อภาวะการดื้ออินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวาน จริง ๆ ไม่ใช่ทางตรง เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่ได้ให้พลังงาน แต่มีงานวิจัย (ส่วนน้อย) ที่ไม่ได้ทำในมนุษย์ บอกว่าสามารถไปทำให้อินซูลินหลั่งเพิ่มขึ้นได้ เรื่องนี้ทำให้การรับรู้และความเข้าใจของคนเปลี่ยนมากกว่า เพราะรับรู้ว่าดื่มน้ำอัดลมที่ไม่มีพลังงานทำให้รู้ว่าสามารถไปกินอย่างอื่นได้มากขึ้น ก็จะทำให้ดื่มน้ำหวานชนิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น หรือกินอาหารประเภทอื่นที่ส่งเสริมทำให้เกิดความอ้วน และนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินในอนาคตได้
เหตุผลข้อ 2 : เพิ่มอัตราภาวะหัวใจหยุดเต้น และเสี่ยงโรคหัวใจเฉียบพลัน เพิ่มอัตราเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
มีงานวิจัยที่บอกการเชื่อมโยงเรื่องการกินสารอาหารแทนความหวานแล้วเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นและเสี่ยงโรคหัวใจเฉียบพลัน เพิ่มอัตราเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง แต่หลักฐานหรือกลไกต่าง ๆ ยังไม่มีบอกว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง
ดังนั้น คิดว่าอาจจะเป็นทางอ้อมทำให้อยากกินของหวานมากขึ้น เมื่อกินของหวานมากขึ้นก็ทำให้เกิดภาวะอ้วน ซึ่งความอ้วนนี่แหละเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
เหตุผลข้อ 3 : มีฟอสฟอรัสสูง ส่งผลโดยตรงกับการทำงานของไต เสี่ยงต่อการทำให้เกิดโรคไตบกพร่องได้ ซึ่งการเป็นโรคไตบกพร่องจะเป็นโรคเรื้อรังและอาจทวีความรุนแรงไปเรื่อย ๆ
เรื่อง “ฟอสฟอรัส” ไม่ได้จำกัดเฉพาะน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล เพราะว่า “น้ำอัดลมมีน้ำตาล “และ “ไม่มีน้ำตาล” ถูกผลิตด้วยกรดฟอสฟอริก (Phosphoric acid) กรดฟอสฟอริกจะทำให้เกิดฟอสเฟต (Phosphate)
น้ำอัดลมมีฟอสเฟตเป็นส่วนประกอบมาก ดังนั้น คนที่ต้องดูแลเรื่องไตมาก ๆ ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำอัดลมทุกชนิด (ทั้งที่มีน้ำตาลและไม่มีน้ำตาล)
ในคนที่สุขภาพดี (ปราศจากโรคเรื้อรังต่าง ๆ) มีการทำงานของไตปกติ ก็ไม่ต้องกังวล แต่สำหรับคนที่มีปัญหาหรือมีโรคเกี่ยวกับไต และต้องการดูแลสุขภาพไตให้มากที่สุด ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม
เหตุผลข้อ 4 : น้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริกสูง จะไปทำลายแคลเซียมในร่างกาย เช่น ในกระดูก ในฟัน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ฟันผุ และกระดูกเสื่อมสภาพเร็วก่อนวัย
ในน้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริกสูง จะไปทำลายแคลเซียมในร่างกายจริง เพราะน้ำอัดลมจะไปเพิ่มการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย ทำให้ปัสสาวะออกมากขึ้นจากการขับของกาเฟอีน จะไปกระตุ้นให้เกิดการปวดปัสสาวะบ่อย แร่ธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะแคลเซียมออกมาพร้อมกับน้ำปัสสาวะ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีภาวะกระดูกพรุนได้
น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ช่วย “ลด” และ “เลิก” การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาล ได้จริงหรือ ?
เรื่องนี้อาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะหลัก ๆ ก็คือ ทำให้ติดรสหวาน ถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด
การ “ติดรสหวาน” จะทำให้อยากกินอาหารหวานมากขึ้นตลอดเวลา
ถ้าจะให้ดีที่สุด ต้องทำควบคู่กับ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ” ด้วยการลดปริมาณน้ำตาลที่กิน
น้ำอัดลมเป็นอาหาร ไม่ใช่ยาพิษ ในคนปกติดื่มน้ำอัดลมได้ แต่ต้องควบคุมปริมาณ ลดปริมาณ ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน
ในภาพรวม ควรดูแลจัดการเรื่องอาหารและวิธีการกินอย่างเหมาะสม เพราะการดื่มน้ำอัดลมน้ำตาล 0 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้รับแคลอรีจากน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ไม่ได้หมายความว่าจะไปเพิ่มพลังงานหรือแคลอรีจากอาหารชนิดอื่น ๆ ได้อีก
ถ้าต้องการลดน้ำหนักจริง ๆ แนะนำให้คุมพลังงานที่ได้รับแต่ละวัน ด้วยการตัดอาหารที่มีพลังงานสูงและส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายออก
รู้จัก “น้ำตาลเทียม” สารทดแทนความหวานที่ไม่ให้พลังงาน หรือมีพลังงานต่ำ
“น้ำตาลเทียม” (Artificial sweetener) ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นทางเลือกให้คนที่รักษาสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่ต้องการควบคุมแคลอรี สารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ควรรู้จัก (ข้อมูลจากเว็บไซต์ oryor.com) มีดังนี้
1. แอสพาร์เทม (Aspartame) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ครีมเทียม หมากฝรั่ง ซีเรียล ขนมหวาน เครื่องดื่ม และผลไม้แห้ง เป็นต้น
ข้อดี : ไม่ทำให้เกิดภาวะฟันผุ และไม่กระตุ้นน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
ข้อเสีย : เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเมื่อเจอความร้อนสูงทำให้เกิดรสขมและความหวานลดลง ไม่ควรใช้ปรุงอาหารขณะร้อน
ข้อควรระวัง : ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะเฟนิลคีโทนยูเรีย (phenylketonuria) ดังนั้นให้สังเกตฉลากที่แสดงข้อความว่า“มี phenylalanine” และแสดงคำเตือน “ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะเฟนิลคีโทนยูเรีย”
2. แซ็กคาริน (Saccharin) หรือขัณฑสกร เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น เครื่องดื่มหรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนผสม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แต่งกลิ่นรส ผลไม้ดอง ไอศกรีม ขนมหวาน และหมากฝรั่ง เป็นต้น
ข้อดี : ทนต่อความร้อนสูงได้
ข้อเสีย : การได้รับแซ็กคารินในปริมาณสูงอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินท้องเสีย ปวดท้อง มีอาการง่วงซึม และอาจชักได้ ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้แซ็กคาริน
ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ในสตรีมีครรภ์
3. แอซีซัลเฟม โพแทสเซียม (Acesulfame potassium) เป็นสารให้ความหวาน ที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น อาหารประเภทของอบ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ของหวานที่แช่แข็งหรือแช่ตู้เย็น ซอสรสหวานต่าง ๆ และน้ำตาลโรยหน้าขนม เป็นต้น
ข้อดี : ไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วและกำจัดออกมาในรูปเดิม สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ป่วยเฟนิลคีโทนยูเรีย
4. ซูคราโลส (Sucralose) มีความหวานใกล้เคียงกับน้ำตาลธรรมชาติ อนุญาตให้ใช้ในอาหาร เช่น ไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ซอส ลูกกวาด แยม และอาหารกระป๋อง เป็นต้น
ข้อดี : คงตัวดี ทนต่อความร้อนสูง ไม่ดูดความชื้น ละลายน้ำได้ดี ไม่มีรสขมติดลิ้น ใช้ปรุงอาหารและขนมทุกชนิดที่ต้องใช้ความร้อนสูงและไม่สูญเสียความหวาน
ข้อเสีย : อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ในบางคน
5. นีโอเทม (Neotame) ให้ความหวานมากกว่าสารตัวอื่น ๆ โดยให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 800-1,300 เท่า
ข้อดี : ใช้กับอาหารและเครื่องดื่มได้ทุกประเภท
น้ำตาลเทียม “ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องบริโภคประจำ” แต่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเท่านั้น
ทุกคนสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลด้วยตนเอง นั่นคือขณะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารขอให้ “อ่านข้อมูลบนฉลากโภชนาการ” (Nutrition Information) สังเกตปริมาณน้ำตาล ซึ่งไม่ควรสูงเกิน 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
มีบางบรรจุภัณฑ์อาจระบุข้อความว่า “Sugar Free” คือผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล หรือมีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 0.5 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค หรือมีรสหวานจากสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน (0 แคลอรี) หรือ “Non-nutritive sweetener” คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ หรือน้ำตาลเทียมนั่นเอง
สัมภาษณ์โดย พีรพล อนุตรโสตถิ์
เขียนและเรียบเรียงโดย คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ : 4 เหตุผลที่ควรเลิกดื่มน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล จริงหรือ ?
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter