กรุงเทพฯ 20 ธ.ค. – เครือข่ายธนาคารต้นไม้เข้าพบ “สนธิรัตน์” สนับสนุนโรงไฟฟ้าชุมชน ระบุนอกจากจะช่วยชุมชนแล้วยังช่วยลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ภูมิใจบี 10 ผลักดันราคาปาล์มกระฉูด ย้ำซีอีโอ ปตท.คนใหม่ต้องสานต่อนโยบายเศรษฐกิจฐานราก
วันนี้ (20 ธ.ค.) เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้ 24 จังหวัดทั่วประเทศ เข้าพบนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอบคุณที่กำหนดนโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน ทำให้เครือข่ายมีรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายหญ้าเนเปียร์ โดยศักยภาพของเครือข่ายสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 700-800 เมกะวัตต์ นายสนธิรัตน์ ยังประชุมกับหลายหน่วยงานในเรื่องการลดฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยงานเข้าร่วม ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เชื้อเพลิงชีวภาพทั้งบี 10 แก๊สโซฮอล์ ส่งเสริมอีวี (ยานยนต์ไฟฟ้า) การปรับโรงกลั่นเป็นมาตรฐานยูโร 5 ในปี 2567 จะช่วยลด PM 2.5 เป็นปริมาณมาก
นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า การประกาศบังคับใช้บี 10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ส่งผลให้ราคาปาล์มขยับขึ้นเป็นประวัติการณ์ ผลปาล์มดิบอยู่ที่ 6 บาท/กก. ราคาน้ำมันปาล์มดิบหรือซีพีโออยู่ที่ 30 บาท /กก. ซึ่งยืนยันว่าจะไม่มีการนำเข้าซีพีโอจากต่างประเทศ และจะมีนโยบายดูแลไม่ให้กระทบต่อราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลที่จำหน่ายแก่ยานยนต์ด้วย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ารถดีเซลครึ่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งเป็นรถเก่าและเป็นรถค่ายยุโรปยังไม่ยอมรับบี 10 โดยกำลังให้กระทรวงพลังงานศึกษาว่าจะเข้ามาช่วยเหลือผลักดันให้แก้ไขปัญหานี้อย่างไร
นายสนธิรัตน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บมจ.ปตท. ได้รับการคัดเลือกเป็นซีอีโอ ปตท.คนใหม่ ว่า ปตท.เป็นองค์กรของรัฐที่ก้าวสู่ระดับโลก ซึ่งก็ได้ฝากให้เป็นหลักในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะทำหลายโครงการแล้ว เช่น ไทยเด็ด แต่ก็ขอให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
นายสนธิรัตน์ ย้ำด้วยว่า นโยบายโรงไฟฟ้าชุมชน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สั่งให้เร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรักษาระดับราคาสินค้าเกษตรกร ไม่ได้หวังเรื่องการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแต่อย่างใด โดยโครงการที่จะเกิดขึ้นก็จะต้องพิจารณาจากวัตถุดิบในชุมชน การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ศักยภาพสายส่ง และการเชื่อมต่อนำเศรษฐกิจพอเพียงมาผสมผสาน เช่น โครงการโคกหนองนา โครงการป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง เป็นต้น
“การให้ชุมชนเข้าร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชุมชน เช่น ขั้นต่ำร้อยละ 10 นั้น เบื้องต้นจะกำหนดให้ชุมชนไม่ต้องใส่เงินร่วมทุน แต่จะขอให้นำเงินปันผลจากการขายไฟฟ้าในสัญญา 20 ปีมาจ่ายแทน รูปแบบการซื้อขายจะเป็น Contact Farming หากโรงไฟฟ้าเบี้ยวไม่ซื้อพืชจากชาวบ้าน ทางภาครัฐจะยกเลิกการซื้อไฟฟ้า แต่ผมยังกลุ้มว่าจะทำอย่างไร หากชุมชนเบี้ยวไม่ขายวัตถุดิบตามสัญญาจะทำอย่างไร” รมว.พลังงาน กล่าว
ด้านนายนฤพล วันทูล ผู้จัดการเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนธนาคารต้นไม้ กล่าวว่า การเข้าพบนายสนธิรัตน์ วันนี้ เพื่อขอบคุณและให้กำลังใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในการผลักดันให้เกิดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เกษตรกรมีโอกาสปรับเปลี่ยนอาชีพ แก้ไขผลผลิตทางการเกษตร และทำให้ชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งในฐานะประสานงานชุมชน ขอยืนยันว่าจะไม่เบี้ยวที่จะจำหน่ายสินค้าการเกษตรแก่โรงไฟฟ้าแต่อย่างใด. -สำนักข่าวไทย