กรุงเนปิดอว์ 3 ต.ค. – รมว.คมนาคมร่วมประชุม JCC ครั้งที่ 9 ประกาศเดินหน้าท่าเรือน้ำลึกทวาย มั่นใจเพิ่มมูลค่าการค้าตลอดแนวระเบียงเศรษฐกิจถึง 4 ล้านล้านบาทต่อปี
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานร่วมฯ ฝ่ายไทย การประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และพื้น ที่ที่เกี่ยวข้องครั้งที่ 9 (JCC ) ว่า ที่ประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพิจารณาความคืบหน้าการดําเนินงานการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง และร่วมหารือถึงแนวทางการพัฒนากลไกความร่วมมือ 3 ฝ่าย (เมียนมา-ไทย-ญี่ปุ่น) เพื่อเร่งรัดการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้ดําเนินการได้ตามเป้าหมาย โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะมีการผลักดันโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย เนื่องจากโครงการดังกล่าวถือเป็นแผนการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทย และยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นลำดับต้น ๆ เพราะการเร่งรัดพัฒนาโครงการทวายถือเป็นการพัฒนาที่จะนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงของอาเซียน
ทั้งนี้ จะนําเสนอต่อคณะกรรมการประสานงานร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (JHC) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายไทยและรองประธานาธิบดีของฝ่ายเมียนมาเป็นประธานร่วมกัน เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ส่วนความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา ที่ผ่านมาไทยอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้เมียนมา เพื่อก่อสร้างถนนจากพุน้ำร้อนไปทวาย นอกจากนี้ รัฐบาลไทย -เมียนมา จะมีการหารือร่วมกันพัฒนาทวาย โดยมีเป้าหมายผลักดันให้โครงการทวายเกิดขึ้นโดยเร็ว และกลางปี 2563 จะมีการประชุมร่วมกันเพื่อผลักดันโครงการ
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า สำหรับประโยชน์ในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นการเปิดช่องทางลัดโลจิสติกส์ฝั่งตะวันตกของภูมิภาคเชื่อมโยงแนวระเบียงเศรษฐกิจ ระหว่างเมียนมา–ไทย–กัมพูชา– เวียดนาม สู่ตลาดฝั่งตะวันตก ทั้งนี้ จะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนในการค้า การขนส่งระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จะเป็นการเปิดพื้นที่เศรษฐกิจแห่งใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการตั้งฐานทางธุรกิจใหม่ รวมถึงโอกาสขยายฐานการผลิตของอาเซียน อุตสาหกรรมเชื่อมโยงกิจกรรมตามห่วงโซ่อุปทานกับพื้นที่เศรษฐกิจอื่น ๆ ของไทยและภูมิภาค และเป็นพื้นที่รองรับฐานการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น เป็นปัจจัยสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของเมียนมาสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการพัฒนาเศรษฐกิจระดับพื้นที่ให้เติบโตและเข้มแข็ง ทั้งนี้ จะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งจากการลงทุนด้านการก่อสร้าง อุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า การค้า การขนส่ง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่นอกเหนือจากการจ้างงานในพื้นที่แล้ว ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา บริการสาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งจะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเมียนมาและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่ใกล้เคียง
รมว.คมนาคม คาดว่าหลังการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายและเส้นทางคมนาคมขนส่งตามแนวระเบียงเศรษฐกิจจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมการผลิตของประเทศ หรือจีดีพีเมียนมาโต 4.8% และไทยโต 1.9% และมูลค่าการค้ารวมตลอดแนวระเบียงเศรษฐกิจสูงถึง 4 ล้านล้านบาท หรือ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นอกจากนี้ จะเกิดการสร้างงานภายในนิคมอุตสาหกรรมทวายประมาณ 900,000คน และจ้างงานรวมถึง 3 ล้านคน เมื่อรวมถึงการลงทุนต่อเนื่องระยะยาวเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกทวาย ถือส่วนหนึ่งของแผนแม่บทเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งอาเซียน (ASEAN Connectivity) และเส้นทางเชื่อมประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงกับอินเดีย (Mekong-India Economic Corridor) เป็นการเปิดเส้นทางการค้าและประตูเชื่อมเศรษฐกิจฝั่งตะวันตกแห่งใหม่ของภูมิภาคตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ Greater Mekong Sub-region (GMS) สร้างทางลัดโลจิสติกส์เชื่อมโยงอาเซียนกับโลกตะวันออกและโลกตะวันตกสู่ตลาดในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
สำหรับท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นท่าเรือที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศเมียนมา มีธุรกิจยาง น้ำมันปาล์ม เหมืองแร่ การประมง ท่องเที่ยว และการค้า จากประเทศไทยมีถนนมอเตอร์เวย์เชื่อมจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดกาญจนบุรี ข้ามพรมแดนไทย-เมียนมาที่ด่านบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันประกาศเป็นจุดผ่านแดนถาวรเมื่อปี 2556 ท่าเรือน้ำลึกทวายเป็นโครงการที่อยู่ในแนวระเบียงเศรษฐกิจใต้ตามกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือ GMS เชื่อมโยงเมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนามตอนใต้.-สำนักข่าวไทย