กรุงเทพฯ 5 ก.ย.- นายกฯ เปิดงาน ASEAN MSMEs ย้ำอาเซียนให้ความสำคัญการประกอบธุรกิจ MSME ก้าวสู่ดิจิทัล พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ ใช้ดิจิทัล ในการประกอบธุรกิจ ลดจำนวนของธุรกิจนอกระบบ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประชาชน
ที่โรงแรม Bangkok Marriot Marquis Queen’s Park พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “ASEAN MSMEs in the Digital Era : Challenges and Opportunities” ซึ่งเป็นเวทีให้วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศในอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีกับความท้าทายและโอกาสของผู้ประกอบการในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย หรือ MSME
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ในการส่งเสริม MSME โดยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ในปี 2014 ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยในฐานะประธานอาเซียน ผลักดันให้สมาชิกอาเซียนดำเนินการให้สำเร็จภายในปีนี้ ซึ่งการพัฒนาวิสาหกิจรายย่อย ได้เป็นหนึ่งในประเด็นหลัก ในการเตรียมความพร้อมของอาเซียนสำหรับการปฎิบัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งทุกรัฐบาลในอาเซียนต้องสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลอย่างเต็มที่ เกิดการประสานความร่วมมือของรัฐและเอกชน ในการส่งเสริมผู้ประกอบการให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงตลาดและส่งเสริม MSME รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยในอาเซียนใช้ดิจิทัล ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งภาครัฐจะสนับสนุนการเข้าสู่ระบบ เพื่อลดจำนวนของธุรกิจนอกระบบ โดยในอาเซียนมีธุรกิจจดทะเบียนอย่างถูกต้องประมาณ 10.04 ล้านราย ซึ่งช่วยสร้างงานมากกว่า 72 ล้านตำแหน่ง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ภาครัฐจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยระบบธนาคารออนไลน์ และเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล รวมถึง จะส่งเสริมการเข้าถึงบริการในการพัฒนาธุรกิจและทักษะความรู้ที่เกี่ยวข้องสำหรับประชาชนเพื่อช่วยในการใช้ดิจิทัล ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ให้สามารถใช้ประโยชน์ รวมถึงต้องสนับสนุนขีดความสามารถในด้านอื่น ๆ ด้วย
ทั้งนี้ผู้ประกอบการ MSMEs เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถดูแลกิจการเหล่านี้ให้มั่นคงแข็งแรงได้ ก็เท่ากับช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ การรวมตัวและร่วมมือกันของภาคเอกชน จะเป็นกลไกสำคัญ ให้อาเซียนมีความแน่นแฟ้นและเติบโตไปพร้อมกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ทุกประเทศต่างรู้ถึงปัญหา ข้อขัดข้องและอุปสรรค ในการดำเนินงานของ MSME แต่ปัญหาสำคัญคือความร่วมมือของผู้ประกอบการ ว่ามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด ในการเข้าสู่ระบบ ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นเกิดความตื่นตัวในการใช้ดิจิทัลเข้ามาดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ขณะที่รัฐบาลก็พร้อมสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะหากยิ่งตื่นตัวช้า ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศด้วย โดยสิ่งสำคัญคือการสร้างความรู้และความเข้าใจ ตลอดจนการลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนและรัฐบาลให้มากที่สุด เพราะหากไม่แก้ไขร่วมกัน ก็จะแก้ไขอะไรไม่ได้ ทั้งเรื่องของภาคการเกษตรและภาคธุรกิจ ที่ต้องใช้กฏหมายเป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ฝากให้ที่ประชุม ดูข้อกฏหมายและนโยบายของแต่ละชาติ เพื่อปรับให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วนในภูมิภาคอาเซียน
หลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนนตรี เดินทางกลับทำเนียบฯ เมื่อเดินทางถึงได้ลงจากรถและเดินมายังบริเวณศาลพระภูมิ โดยได้สั่งทีมงานให้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณด้านหน้าศาล ขอให้ปลูกต้นไม้ที่มีกลิ่มหอม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ขอให้ปลูกต้นนมแมว ก่อนจะเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไป .-สำนักข่าวไทย