กรุงเทพฯ 11 ก.ค. – กกพ.ตรึงค่าไฟฟ้าเอฟทีจนถึงสิ้นปี ฟังเสียงเอกชนหลังส่งออกทรุด ไม่งั้นขึ้นอีก 11.60 สตางค์/หน่วย ใช้เงิน 9,000 ล้านบาทอุดหนุน โดย 6,000 ล้านบาทให้ 3 การไฟฟ้ารับภาระไปก่อน
นางสาวนฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้คงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2562 อัตราติดลบ 11.60 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.6396 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ไม่เปลี่ยนแปลงจากงวดก่อน
อย่างไรก็ตาม หากพิจาณาต้นทุนค่าไฟฟ้าแล้ว เอฟทีจะต้องปรับขึ้น 16.82 สตางค์/หน่วย และทำให้ค่าเอฟทีที่แท้จริงอยู่ที่ 5.22 สตางค์/หน่วย แต่คณะกรรมการ กกพ.ไม่ต้องการให้ปัจจัยค่าไฟฟ้ามากระทบต่ออุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ภาวะการส่งออกของประเทศชะลอตัวลงจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนของภาวะตลาดโลก จึงตรึงราคาต่อ โดยคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 9,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการบริหารจัดการในการตรึงค่าไฟฟ้านี้
โดยวงเงินส่วนหนึ่งนำเงินมาจากการกำกับประสิทธิภาพการดำเนินงานของ 3 การไฟฟ้าในปี 2561 ประมาณ 3,000 ล้านบาท (วงเงินลงทุนต่ำกว่าแผนงาน ) และในส่วนที่เหลือประมาณ 6,000 ล้านบาท จะเป็นความร่วมมือกันของ 3 การไฟฟ้าในการเข้ามาร่วมดูแล เพื่อช่วยรับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงแทนประชาชนไปชั่วคราวก่อน ซึ่งจะต้องหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ,การไฟฟ้านครหลวง (กฟน. ) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ว่าจะดำเนินการอย่างไร
“แนวโน้มค่าไฟฟ้างวดถัดไปจะปรับขึ้นหรือไม่ คงต้องดูต้นทุนหลายด้าน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังอยู่ในเกณฑ์สูง ก็จะสะท้อนไปยังราคาก๊าซธรรมชาติ ทำให้ราคาสูงตามไปด้วย โดยค่าเอฟทีงวดใหม่ต้นทุนค่าไฟฟ้าหลักเพิ่มขึ้นมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันถึงเกือบ 24 บาท/ล้านบีทียู โดยคาดว่าราคาก๊าซงวดใหม่จะพุ่งถึง 305.20 บาท/ล้านบีทียู”
สำหรับการตัดสินใจไม่ปรับเพิ่มค่าเอฟทีรอบนี้ (ก.ย.-ธ.ค. 2562) เป็นการบริหารจัดการภายใต้ปัจจัยหลัก ๆ ทางด้านต้นทุนขาขึ้นที่ยังคงมีความผันผวน และกดดันต่อค่าเอฟที ภายใต้สมมติฐานที่ประกอบด้วย
1. อัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าเท่ากับ 31.80 บาท/เหรียญสหรัฐ หรืออ่อนค่าลงกว่าช่วงที่ประมาณการในงวดเดือน พ.ค.- ส.ค. 2562 ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4 เดือนอยู่ที่ระดับ 31.00 บาท/เหรียญสหรัฐ
2. ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2562 เท่ากับ 64,416.20 ล้านหน่วย ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือน พ.ค. – ส.ค. 2562 เท่ากับ 3,966.19 ล้านหน่วย คิดเป็นร้อยละ 5.80 ตามสภาพความต้องการไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงปลายปี
3. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2562 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 55.78 รองลงมาเป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ร้อยละ 18.91 ลิกไนต์ และถ่านหินนำเข้า อยู่ที่ร้อยละ 8.79 และ ร้อยละ 7.93 ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า คาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติเท่ากับ 305.20 บาท/ล้านบีทียู ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดที่ผ่านมา 23.75 บาท/ล้านบีทียู ราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยของโรงไฟฟ้าเอกชนอยู่ที่ 2,739.31 บาท/ตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 2,643.13 บาท/ตัน เท่ากับ 96.18 บาท/ตัน . -สำนักข่าวไทย