กรุงเทพฯ 17 ก.ค. – กกพ.เคาะเสนอ 3 ทางเลือกค่าไฟงวด ก.ย.-ธ.ค. ที่ 3.98-5.10 บาท/หน่วย ชี้ต้นทุนหลักค่าเชื้อเพลิงคลายตัว ส่งผลแนวโน้มค่าไฟลดลง มองตัวเลข 3.98 บาท/หน่วย เหมาะสมรับได้ทั้งผู้ใช้ และผู้ผลิตไฟฟ้า เนื่องจากจะทำให้สามารถทยอยคืนหนี้ให้ กฟผ.ได้งวดละ 7,072 ล้านบาท
ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ข่าวดีที่ที่ส่งผลดีต่อค่าเอฟทีและแนวโน้มค่าไฟที่ลดลงในงวด ก.ย.-ธ.ค.68 คือ ปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยกลับมาสู่ภาวะปกติ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าช่วงปลายปีมีแนวโน้มลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ ในการประชุม กกพ. เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา กกพ.จึงมีมติให้สำนักงาน กกพ.เปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.68 แบ่งเป็น 3 กรณีคือ 3.98 บาท/หน่วย, 4.87 บาท/หน่วย และ 5.10 บาท/หน่วย
อย่างไรก็ดี แม้จะมีข่าวดี แต่สาเหตุที่ กกพ. ยังไม่สามารถประกาศปรับลดค่าเอฟทีและค่าไฟได้ทันที เนื่องจากยังมีภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีก 66,072 ล้านบาท ซึ่งการจัดเก็บค่าไฟฟ้าเพื่อลดหนี้ กฟผ. ในช่วงต้นปีก็ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายอยู่ 8,295 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนคงค้างลง 13,142 ล้านบาท แต่เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าจริงสูงกว่าการคาดการณ์ ทำให้สามารถลดต้นทุนคงค้างจริงได้เพียง 4,847 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นจากงวดก่อนหน้า 1.32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ (งวด พ.ค.-ส.ค.68) เป็น 32.95 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และราคา LNG Spot ที่มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยตามราคาในตลาดโลกมาอยู่ที่ 13.9 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า จึงนำไปสู่การเปิดรับฟังความคิดเห็นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.68 3 แนวทางดังนี้
กรณีที่ 1: ค่าไฟฟ้า 5.10 บาท/หน่วย (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) และการคำนวณกรณีเรียกเก็บมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าปี 2566 ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 131.94 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้ม (1) ต้นทุนเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 จำนวน 9.01 สตางค์ต่อหน่วย และ (2) เงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 66,072 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 100.08 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 22.85 สตางค์ต่อหน่วย) รวมจำนวน 122.93 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 – เมษายน 2568 คืนทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2568 และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.10 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากปัจุบันร้อยละ 28
กรณีที่ 2: 4.87 บาท/หน่วย (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. ทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 109.09 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือนกันยายน – ธันวาคม 2568 จำนวน 9.01 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง (AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 66,072 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 100.08 สตางค์ต่อหน่วย) โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2568 เมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.87 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อยละ 22 ทั้งนี้ ยังไม่รวมมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บเดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) อีกจำนวน 15,084 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 22.85 สตางค์ต่อหน่วย)
กรณีที่ 3: 3.98 บาท/หน่วย (ตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบัน) ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 19.72 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสามารถทยอยชำระคืนภาระต้นทุน AF คงค้างสะสมให้แก่ กฟผ. ได้จำนวน 7,072 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 10.71 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าส่วนต่างของราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงกับค่าก๊าซธรรมชาติที่เรียกเก็บ เดือนกันยายน – ธันวาคม 2566 ของรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) ในระบบของ กฟผ. ต่อไป ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คงที่เท่ากับ 3.98 บาทต่อหน่วย เช่นเดียวกับปัจจุบัน
“ตัวเลข 3.98 บาท/หน่วย เป็นราคาที่เหมาะสมและสามารถรับได้ทั้งประชาชนและผู้ผลิตไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าซึ่งก็คือ กฟผ.ก็ต้องนำเงินไปชดใช้มูลหนี้คงค้าง หากรีบใช้หนี้ก็จะช่วยผ่อนคลายหนี้ที่กฟผ.แบกรับแทนประชาชนมาตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด และเพื่อเป็นการเตรียมรับมือปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจจะมากดดันในอนาคต โดยเฉพาะสงครามระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อราคาพลังงานโลก ส่วนคาดการณ์ค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย.2569 ยังต้องจับตาสถานการณ์โลก ซึ่งต้องติดตามทั้งนโยบายภาษี สงครามการสู้รบ ซึ่งมีผลต่อราคาพลังงาน แต่ยืนยันว่ากระทรวงพลังงานจะดูแลไม่ให้ไฟฟ้าขาดแคลน และมีราคาเหมาะสม” เลขาฯ กกพ.กล่าว
ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นแนวค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค.2568 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 17 – 28 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป. -517-สำนักข่าวไทย