พาณิชย์หารือผู้ทรงคุณวุฒิรับมือสงครามการค้า

นนทบุรี 18 มิ.ย. –  พาณิชย์หารือผู้ทรงคุณวุฒิ วางแนวทางรับมือสงครามการค้า ก่อนเสนอ ครม.ขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม 


น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และการส่งออก รวมทั้งให้พิจารณามาตรการรองรับ ซึ่งกระทรวงได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ไปแล้วนั้น

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงด้านต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นและมาตรการที่เหมาะสมในการรับมือปัญหาสงครามการค้า ที่กำลังเริ่มขยายออกไปในประเด็นต่างๆ เช่น เทคโนโลยี โดยจะนำความเห็นที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีใหม่ต่อไป


สนค. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนศ. จึงได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ประกอบด้วย นายการุณ กิตติสถาพร อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์, นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, นายสมเกียรติ โอสถสภา นักวิชาการและคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตันดีซี, นายปฐม อินทโรดม ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะทำงานศึกษาผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ของ ส.อ.ท. เข้าร่วมการหารือ

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการหารือ เป็นการขอความคิดเห็นต่อแนวทางการรับมือสงครามการค้า รวมถึงการดำเนินวิเทโศบายของไทยเพื่อการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างสูงสุด เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศในขณะนี้มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ทิศทางการค้าและการลงทุนเปลี่ยนแปลงจากเดิม นอกจากนี้ ประเด็นอื่น ๆ ทั้งการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และเทคโนโลยี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายทางการค้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเชิงยุทธศาสตร์หลายประเด็น โดยต่างเห็นพ้องกันว่าเป็นการดีที่กระทรวงพาณิชย์ริเริ่มการหารือครั้งนี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายด้าน เพราะความขัดแย้งของสหรัฐและจีนคงจะไม่จบลงง่าย ๆ แต่มีแนวโน้มที่จะคงอยู่ไปอีกนานพอสมควร และอาจจะขยายวงออกไปมากกว่าเรื่องการค้า ซึ่งไทยต้องมีแนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศใหญ่ทั้งสองและประเทศอื่นที่มีความสมดุล (Balance) นอกจากนี้ ไทยควรมองหาแนวทางการสร้างความเชื่อมโยงในอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมเพิ่มเติมให้สอดรับกับพัฒนาการใหม่ๆ ทางเทคโนโลยี ไม่ใช่ยึดติดกับประเด็นเรื่องเดิมที่ทำมาแล้วเท่านั้น


สำหรับระยะสั้น กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าฝ่ายเลขานุการควรจัดทำ checklist ประเด็นที่อาจจะทำให้ไทยเป็นที่เพ่งเล็งของสหรัฐ เช่น การได้ดุลการค้า เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และเตรียมแนวทางรองรับอย่างมีเอกภาพร่วมกันหลายหน่วยงาน รวมทั้งควรยกระดับการติดตามสอดส่องการนำเข้าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การสวมสิทธิ์ และการเข้ามาลงทุนในกิจการขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือทำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา นอกจากนี้ ควรเร่งรุกตลาดใหญ่ในภูมิภาคนอกจากจีนและอาเซียน เช่น อินเดีย รวมทั้งควรสนับสนุนภาคบริการมากขึ้น

สำหรับระยะกลาง ที่ประชุมเสนอว่าไทยควรมีการกำหนดกรอบการบริหารจัดการเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีความยืดหยุ่นโดยต้องร่วมกันหารือระหว่างหน่วยงานการค้า การคลัง การเงิน การลงทุน การต่างประเทศ ความมั่นคง การแข่งขัน และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน สร้างภูมิคุ้มกัน และตอบโจทย์โลกที่เปลี่ยนไป

นอกจากนี้ ไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคบริการอย่างจริงจัง เพื่อเป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมที่ในอนาคตจะมีจ้างงานคนน้อยลง เพราะระบบอัตโนมัติ (Automation) และการผลิตแบบ Customized (ผลิตตามออเดอร์ลูกค้า ลดการสตอกสินค้าในโกดังหรือในร้าน) จะทำให้ภาคการผลิตอาจไหลกลับไปสู่ประเทศเจ้าของทุนและเจ้าของเทคโนโลยีมากขึ้น หรือที่เรียกว่า re-shoring (กลับไปประเทศ) และ near-shoring (กลับไปประเทศที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ไปผลิตในเม็กซิโกที่ใกล้กับสหรัฐ) โดยภาคบริการไทยควรพัฒนาทั้งแบบที่เป็นบริการเกี่ยวเนื่องกับสินค้าต่าง ๆ เช่น R&D การออกแบบ การขาย โลจิสติกส์ และบริการที่เป็น cluster ที่สร้างรายได้ เช่น ดิจิทัล การศึกษา การท่องเที่ยว เป็นต้น อีกภาคหนึ่งที่ควรเร่งพัฒนาขึ้นมาคือ เกษตรแปรรูป ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในและสร้างรายได้เกษตรกรอีกด้วย

น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวถึงประเด็นเรื่องเทคโนโลยีว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคต โดยด้านเศรษฐกิจ 5G จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อผู้บริโภคเข้ากับผู้ขายหรือผู้ผลิตโดยตรง ลดขั้นตอนและตัวกลางลงผ่านการใช้ platform ต่างๆ ส่วนเรื่องความมั่นคงจะเกี่ยวกับภัยไซเบอร์และการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของภาครัฐและประชาชน ซึ่งไทยต้องทำความเข้าใจผลกระทบและศักยภาพของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจีนกำลังผลักดันอย่างมากและเร็วขึ้น หลังจากพบปัญหากับสหรัฐ ซึ่งที่ประชุมอยากให้ฝ่ายเลขานุการวิเคราะห์ประเด็นนี้ละเอียดขึ้น

สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น นอกจากประเด็นที่ต้องระวังเรื่องการทุ่มตลาด การสวมสิทธิ์ และการลงทุนประเภทที่ไม่พึงปรารถนาแล้ว ที่ประชุมเห็นว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของการค้าออนไลน์นั้น แม้ว่าในทางหนึ่งจะเป็นประโยชน์ในการส่งออกของเอสเอ็มอีไทย แต่พบว่าการเข้าถึงแพลตฟอร์มขายสินค้าของไทยยังไม่เพียงพอแข่งกับสินค้าจากประเทศอื่นได้ลำบาก อีกทั้งปัจจุบันมีการเข้ามาของสินค้าต่างประเทศที่สั่งมาออนไลน์ในราคาที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจตราการนำเข้า หน่วยงานภาษี หน่วยงานด้านการแข่งขัน และหน่วยงานด้านมาตรฐานสินค้า ควรยกระดับการติดตามตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย และรักษาระดับมาตรฐานสินค้าเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค

สำหรับการเตรียมการระยะต่อไป ต้องขยายการดำเนินงานในประเด็นอื่น ๆ อาทิ ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเงิน การลงทุน และเทคโนโลยี เพื่อรองรับบริบทของเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยไทยจะต้องดำเนินนโยบายด้านการค้าและการลงทุน นโยบายการต่างประเทศ และความมั่นคงอย่างบูรณาการ รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค  พัฒนาระบบนิเวศทางการค้าและการลงทุน  เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ควบคู่กับการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ โดยผลักดันการส่งออกควบคู่กันไป

ทั้งนี้ ควรมีรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ที่มีความคล่องตัว ทันสถานการณ์ และสามารถเป็นผู้แทนเพื่อเจรจาและผลักดันวาระนี้ได้ในระดับนโยบาย กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิครั้งนี้มาศึกษาบางประเด็นเพิ่มเติม ก่อนที่จะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ ครม.พิจารณาผลักดันการขับเคลื่อน และนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

แนวป้องกันน้ำท่วมฝีมือทหารช่าง ลดความรุนแรงน้ำท่วม

เชียงราย 29 ก.ค. – น้ำจากลำน้ำสายที่ทะลักเข้าท่วมชุมชนชายแดนแม่สายที่เชียงรายลดลงแล้ว แต่ทิ้งเศษซากความเสียหายไว้จำนวนมากและทำให้ชาวแม่สายอย่างน้อย 500 ครัวเรือนได้รับความเดือดร้อน แต่ยังถือว่าไม่หนักหนาสาหัสเหมือนน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากแนวป้องกันน้ำท่วมยาวเกือบ 4 กิโลเมตร จากฝีมือของทหารช่าง.-สำนักข่าวไทย

เปิดภาพทหารล้อมรั้วลวดหนาม ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 29 ก.ค.-เปิดภาพทหารล้อมรั้วลวดหนามรอบปราสาทตาเหมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จากเหตุสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ในหลายพื้นที่ รวมทั้งบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่มีการปะทะรุนแรง และก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามยั่วยุในลักษณะต่างๆ เช่น การขึ้นมาร้องเพลง และทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 2 ก็เชิญชวนให้คนไทยมาเที่ยวปราสาทตาเมือนธม โดยยืนยันว่าเป็นพื้นที่อธิปไตยไทย และได้รับความสนใจจากประชาชนจากทั่วสารทิศ ทั้งนี้ บริเวณปราสาทตาเมือนธม ถือเป็นพื้นที่แรกๆ ที่เกิดเหตุปะทะ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ด้วยเหตุว่ากัมพูชาพยายามจะเข้ามายึดพื้นที่ปราสาท ซึ่งเป็นจุดสูงได้เปรียบในเชิงจุดยุทธศาสตร์ ก่อนจะเกิดเหตุปะทะในหลายพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 และนำมาสู่การเจรจาหยุดยิงโดยรัฐบาล 2 ประเทศ เมื่อวานนี้ จนกระทั่งมีการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างฝ่ายทหารในพื้นที่ 2 ประเทศในวันนี้ และทำให้เสียงปืนสงบลง.-313.-สำนักข่าวไทย

ไทม์ไลน์หลังข้อตกลงหยุดยิง หลายพื้นที่ยังปะทะเดือด

29 ก.ค.- ย้อนดูไทม์ไลน์ เหตุปะทะในหลายพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนที่ผ่านมา ทันทีที่ข้อตกลงหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข ถูกกำหนดในเวลาเที่ยงคืน สมรภูมิสำคัญตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธม เดือดถึงขีดสุด เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการแย่งชิงพื้นที่ ยิ่ง 30 นาทีสุดท้ายก่อนเดดไลน์ ทหารหน่วยรบพิเศษของไทย เข้าปะทะ “กองกำลัง BHQ” ที่เสริมกำลังเข้ามาอย่างดุเดือด ก่อนที่ไทยจะยึดประสาทตาควายไว้ได้ก่อนถึงเส้นตายหยุดยิง แต่ปรากฏว่าเสียงปืนและระเบิด สงบลงหลังเส้นตายหยุดยิงเพียงไม่นาน ตลอดทั้งคืน ไทยยังถูกกัมพูชา ยิงยั่วยุ ยาวจนถึงเช้า ภาพนี้ทหารไทยได้ถ่ายเวลาจากนาฬิกา ในเวลา 06.29 น. ขณะได้ยินเสียงปืนใหญ่ที่ฝั่งกัมพูชาระดมยิงใส่ฝั่งไทยไว้เป็นหลักฐานว่า กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พันเอกริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษก ทบ. เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ กองกำลังสุรนารี ว่าหลังจากมีการหยุดยิง ในเวลา 00.00 น. แล้ว พบว่าในพื้นที่ภูมะเขือ ถูกก่อกวน โดยฝ่ายทหารกัมพูชา มีการยิงปะทะตอบโต้จากทั้งสองฝ่ายจนถึงเช้า พื้นที่ซำแต มีการยิงปะทะกันเกิดขึ้น จนถึงเวลา 05.30 น. เนื่องจากทหารกัมพูชาไม่ยอมหยุด […]

ทหารม้าคุมตัว 18 ทหารกัมพูชา ในพื้นที่ซำแต หลังยอมจำนน

ศรีสะเกษ 29 ก.ค.-ทบ. เผยคุมตัว 18 ทหารกัมพูชา หลังทหารม้า เข้ากวาดล้างที่มั่นเขมร พื้นที่ซำแต จ.ศรีสะเกษ หลังยอมจำนน จนท.ปลดอาวุธ ยึดถือหลักมนุษยธรรมสากลเคร่งครัด ก่อนจะดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป วันนี้ (29 กรกฎาคม 2568) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานผลการควบคุมตัวทหารกัมพูชา จำนวน 18 นาย สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ ซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักและอาวุธวิถีโค้ง ยิงเข้ามาในเขตพื้นที่ของไทย ฝ่ายไทยจึงได้ใช้ หน่วยทหารม้าเฉพาะกิจเข้าทำการตอบโต้และกวาดล้างที่มั่นของฝ่ายกัมพูชา จากการปฏิบัติดังกล่าว พบมีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งยอมจำนนโดยไม่มีท่าทีหรือลักษณะจะคุกคามฝ่ายไทย ทางหน่วยจึงดำเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามขั้นตอน โดยยึดถือหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด มีจำนวน 18 นาย ชั้นยศ ร้อยตรี 1 นาย, จ่าสิบโท 2 นาย, สิบเอก 12 นาย, สิบโท […]