สทนช. 14 ส.ค.-สทนช. ประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
สร้างความเป็นเอกภาพในการวิเคราะห์ สรุปข้อมูลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
พร้อมสั่งเฝ้าระวัง พายุโซนร้อน “เบบินคา” และกำหนดแผนการระบายน้ำ ลดความเสี่ยงอุทกภัย
รวมทั้งสร้างการรับรู้ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(สทนช.)
เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ว่า ที่ประชุมได้สรุปผลและกำหนดทิศทางการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ
ภายหลังจากการจัดตั้งศูนย์ฯขึ้นมาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีมติให้ตัวแทนหน่วยงานต่าง
ๆ ที่ประจำศูนย์ฯ ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ผลและร่วมกันสรุปให้ได้ข้อมูลชุดเดียวในการบริหารจัดการน้ำ
และใช้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อมวลชนหรือช่องทางของหน่วยงานต่างๆให้ประชาชนรับทราบทันต่อสถานการณ์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการกำหนดพื้นที่เฝ้าระวัง
พื้นที่วิกฤติ พร้อมทั้งจะมีการคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้า 3 วัน
เพื่อระบุพื้นที่ฝนตกหนักระดับอำเภอ
รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำได้แก่ ปริมาณน้ำไหลเข้า
ปริมาณน้ำไหลล้นทางระบายน้ำล้น
และจัดทำแผนการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำที่มีระดับน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์
จัดทำมาตรการเตรียมความพร้อมลดความเสี่ยงอุทกภัย
กรณีการระบายน้ำฉุกเฉินของอ่างเก็บน้ำและกรณีเขื่อนวิกฤติ ตลอดจนสำรวจความแข็งแรงของเขื่อน และสร้างการรับรู้ภาคประชาชนต่อเนื่อง
ส่วนการบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีระดับเกินเกณฑ์ควบคุม
และมีปริมาณน้ำเกินร้อยละ 80
ของความจุ
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเขื่อนนั้น ๆ
เฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิดและบริหารจัดการน้ำเพื่อรับน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้น
โดยให้จัดทำแผนเผชิญเหตุ แผนระบายน้ำเช่นเดียวกันกับกรณีของเขื่อนแก่งกระจาน โดยขอให้มีการรายงานสถานการณ์น้ำแยกเป็นรายวัน
กรณีปกติ ราย 3 ชั่วโมง กรณีเกินเกณฑ์ระดับควบคุมอ่างเก็บน้ำ
รายชั่วโมง กรณีน้ำล้นทางระบายน้ำล้น รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ
คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำได้แก่ ปริมาณน้ำไหลเข้า
ปริมาณน้ำไหลล้นทางระบายน้ำล้น แผนการระบายน้ำ
อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์ตลอด 24 ชั่วโมง
เลขาธิการ สทนช. กล่าวด้วยว่า
ที่ประชุมยังได้สรุปสถานการณ์น้ำล่าสุดว่า กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศว่า
พายุดีเปรสชันบริเวณชายฝั่งของประเทศจีนตอนใต้ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน
“เบบินคา” (BEBINCA) คาดว่า
จะเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น
บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 4 เมตร
จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำในเขื่อน และในแม่น้ำสายสำคัญในภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออก ระดับน้ำเพิ่มขึ้น
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีระดับน้ำน้อย
ภาคกลางและใต้มีระดับปานกลางถึงน้ำมาก
ส่วนแม่น้ำโขง
แม้ขณะนี้จะมีระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแต่ก็จะเพิ่มขึ้นได้หากไม่ฝนตกหนัก
ซึ่งได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตามในส่วนของลุ่มน้ำเพชรบุรี จะมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนแก่งกระจาน
และไหลผ่านทางระบายน้ำล้น (Spillway) ลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี
มีแนวโน้มลดลงตามการระบายน้ำจากเขื่อน สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ยังคงเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 3 แห่งที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเกินเกณฑ์ควบคุม และปริมาณน้ำเกินร้อยละ 80
ของความจุ คือ
เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี
รวมถึงอ่างขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีปริมาณน้ำ 100 % –สำนักข่าวไทย
