สธ. 2 ก.พ.-กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยมีแนวโน้มเครียดกันมากขึ้น ผลการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในปี 2560 พบประชาชนโทรปรึกษาเรื่องปัญหาเครียด วิตกกังวลมากเป็นอันดับ 1 เกือบ 30,000 สาย เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2557 เป็นวัยทำงานมากที่สุด
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโรคเครียด ว่า สภาพการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร วิถีชีวิตที่เร่งรีบ ส่งผลให้ประชาชนทั้งเขตเมืองและชนบท เผชิญกับความเครียดทุกวันอย่างไม่รู้ตัวและหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งอาการมากน้อยแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางอารมณ์สภาพแวดล้อมและความสามารถในการปรับตัวของแต่ละคน กลุ่มที่น่าห่วงมาก คือวัยทำงาน เนื่องจากต้องรับผิดชอบหลายอย่างทั้งครอบครัวและที่ทำงาน
ผลการให้บริการทางสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในปี2560 พบว่าปัญหาที่ขอรับบริการมากเป็นอันดับ 1ได้แก่เรื่องความเครียด วิตกกังวล รวม 27,737 สาย คิดเป็นร้อยละ 40 ของสายที่โทรขอรับบริการทั้งหมด 70,268 สาย โดยจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีจำนวน 14,935 สาย กลุ่มอายุที่ใช้บริการมากที่สุดคือ อายุ 22-59 ปีคิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ใช้บริการทั้งหมด รองลงมาคือกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-21 ปี ร้อยละ 15 ที่เหลือเป็นผู้สูงอายุ
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ผู้มีความเครียด หากปล่อยความเครียดสะสม จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน มีปัญหาสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ความสามารถในการทำงานลดลงหรือผิดพลาดบ่อย และที่สำคัญความเครียดจะมีผลให้ภูมิต้านทานโรคลดลงที่เห็นได้ชัดเจนคือเป็นหวัดได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีผลให้การทำงานของอวัยวะภายในผิดปกติ เกิดเป็นโรคเรื้อรังได้ เช่นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มีบุตรยากขึ้น เป็นต้น
ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ผู้ทำงานทุกคนยึดหลักปฏิบัติ 10 วิธีเพื่อช่วยลดความเครียด ดังนี้ 1. ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาทีทุกวัน หรือให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ (Endorphins) จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายอาการเครียด สมองโล่ง และอารมณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 90 -120 นาทีหลังออกกำลังกาย ช่วยให้นอนหลับสนิทและนานขึ้น
2.สร้างบรรยากาศที่ดีในที่ทำงาน โดยใช้คำพูดเหล่านี้ให้ติดปาก ได้แก่ สวัสดีเพื่อทักทาย ขอโทษ ขอบคุณ ชื่นชมอย่างจริงใจเมื่อเพื่อนร่วมงานทำดี
3.สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ด้วยการแสดงน้ำใจช่วยเหลือกัน ห่วงใยกัน ให้กำลังใจกัน
4.ระหว่างการทำงานควรพักบ้างเพื่อผ่อนคลาย อาจใช้วิธีหลับตาเพื่อพักสายตา 5-10 นาที หรือเดินยืดเส้นยืดสายก็ได้
5. ใช้สติจัดการกับอารมณ์
6. บริหารจัดการเวลาทำงานอย่างเหมาะสม ให้งานเสร็จทันเวลากำหนด
7. กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น บอกความต้องการในเชิงสร้างสรรค์
8. สร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง โดยให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่า“เราต้องทำได้”
9. ฝึกนิสัยการออมรายได้ส่วนหนึ่งไว้เพื่ออนาคต การมีเงินออมจะทำให้เรามีความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ
และ 10.ต้องแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธี อย่าหนีปัญหา โดยแก้ที่สาเหตุ หากแก้ไม่ได้ อย่าอาย หรือกลัวเสียหน้า ขอให้ปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้วางใจ
“หากเกิด 3อาการดังต่อไปนี้ คือ 1.รู้สึกว่าตัวเองมีอาการสับสนเหมือนคนหลงทาง 2.มีความเครียดวิตกกังวลเกินกว่าเหตุและห้ามตัวเองไม่ได้ และ 3.นอนไม่หลับ กินไม่ได้ หงุดหงิดตลอดเวลา หากมีอาการในข้อใดข้อหนึ่งปรากฎ ขอให้ปรึกษาจิตแพทย์หรือแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือขอรับคำปรึกษาทางโทรศัพท์ฟรีที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ถูกวิธี ไม่แก้ไขด้วยวิธีการที่ผิดๆ เช่นกินยานอนหลับเอง หรือดื่มสุรา ใช้สารเสพติดเป็นต้น” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว .-สำนักข่าวไทย