กทม. 26 มี.ค.- โฆษกรัฐบาล ย้ำ นายกฯ บริหารงานภายใต้วิกฤติสถานการณ์โลกอย่างรอบคอบเป็นระบบ เน้นมาตรการช่วยเหลือประชาชนแบบพุ่งเป้า ขณะที่ ความคืบหน้าค่าใช้จ่ายตามมาตรการของรัฐหมุนเวียนในระบบแล้ว 6.3 หมื่นล้านบาท
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐบาลเดินหน้า 10 มาตรการระยะสั้น ดูแลคนทุกกลุ่ม เพิ่มเติมจากนโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกไปแล้วและยังใช้อยู่ ประกอบด้วย มาตรการดูแลครัวเรือนทั่วไป โดยลดค่า ft สำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วย มาตรการดูแลกลุ่มนายจ้างและผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยลดอัตราเงินสมทบในกองทุนประกันสังคม มาตรการดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยช่วยเหลือค่าก๊าซหุงต้ม และมาตรการดูแลกลุ่มขนส่งและโดยสารสาธารณะ กลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ โดยช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลและราคาก๊าช เพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มอาชีพ และบริการงานอย่างรอบคอบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศด้วย ทั้งนี้ สำหรับปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จากวิกฤตความขัดแย้งยูเครน-รัสเซียที่เกิดขึ้น รัฐบาลบาลได้ประเมินสถานการณ์ร่วมกันเบื้องต้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยสองช่องทางหลักได้แก่ (1) ผลกระทบต่อเงินเฟ้อ กรณีที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2565 จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 5.0 และ (2) ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากแนวโน้มการลดลงของนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรปซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย อย่างไรก็ตามภาพรวมของการช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤต 2 ปีที่ผ่านมาที่ได้ประสบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แบ่งเป็นการช่วยเหลือทางด้านสาธารณสุข 213,581.51 ล้านบาท การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน 869,430.94 ล้านบาท และการรักษาระดับการจ้างงานของผู้ประกอบการและการกระตุ้นการบริโภคในระบบเศรษฐกิจ 273,508.24 ล้านบาท ถือซึ่งเป็นการช่วยเหลือแบบพุ่งเป้า ภายใต้งบประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของความคืบหน้ามาตรการลดภาระค่าครองชีพของรัฐของปี 2565 จำนวน 3 โครงการ ที่เปิดให้ใช้จ่ายไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 65 ประกอบด้วย โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 ที่รัฐบาลเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการช่วยลดภาระการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของประชาชน กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ว่าความคืบหน้าล่าสุด (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มีนาคม 2565) มีผู้ใช้สิทธิสะสม รวม 40.88 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 63,109.11 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 26.26 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 57,443.8 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 29,224.0 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 28,219.8 ล้านบาท 2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.35 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 5,204.73 ล้านบาท และ 3) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.27 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 460.58 ล้านบาท โดยประชาชนสามารถใช้ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565
“ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ดูแล แก้ไข เยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่มอย่างดีที่สุด พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญ เอาใจใส่ ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการดูแลพี่น้องประชาชน ให้บรรเทาผ่านพ้นความเดือดร้อนนี้ไปให้ได้ ขอให้ทุกคนอดทนและร่วมมือกันพึ่งพากันและเดินหน้าพร้อมผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยกัน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว .-สำนักข่าวไทย